คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4327/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์และจำเลยได้นำเงินมาลงหุ้นเพื่อซื้อที่ดินพิพาทมาขายแบ่งกำไรกันและจำเลยได้ยึดถือที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยในโฉนดที่ดินแทนส่วนของโจทก์ไว้ ต่อมาจำเลยนำที่ดินไปจำนองให้เช่าและกล่าวอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยโจทก์ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของด้วย ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามส่วน จำเลยให้การปฏิเสธทั้งในฐานะการเป็นหุ้นส่วนและการเป็นเจ้าของรวม ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์และจำเลยเข้าหุ้นเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ และตามคำขอของโจทก์โจทก์ต้องการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1056ที่ต้องบอกเลิกเมื่อสิ้นรอบปีในทางบัญชีเงินและต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหกเดือน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องไปนั้น จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียน ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะในข้อนี้จำเลยยังให้การปฏิเสธอยู่ ทั้งยังปฏิเสธเรื่องการเป็นเจ้าของรวมอีกด้วย ศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อนที่จะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ทั้งหกฟ้องว่า โจทก์ทั้งหกกับจำเลยทั้งสองและผู้มีชื่ออีกหลายคนร่วมกันเป็นหุ้นส่วนกันเพื่อลงทุนซื้อที่ดินไว้เพื่อขายหากำไร เมื่อเดือนตุลาคม 2512 โจทก์ทั้งหกกับจำเลยทั้งสองได้ตกลงร่วมกันลงทุนรวม 20 ส่วน ซื้อที่ดิน 2 แปลงเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จากนายสำราญ ยมนา ต่อมาได้รังวัดออกโฉนด โดยโจทก์ทุกคนมอบหมายให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวและมีชื่อในโฉนดแทนโจทก์ทั้งหก และจดทะเบียนรับโอนโดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาโฉนดที่ดินต่อมาปี 2517 จำเลยที่ 2 ได้ขอรับโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวไปจากโจทก์ที่ 1 อ้างว่ามีคนต้องการซื้อ ครั้นปี 2520 โจทก์ที่ 1ไปขอโฉนดที่ดินดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองกลับไม่ยอมและอ้างว่าไม่ประสงค์จะขาย จนกระทั่งปี 2530 โจทก์ทั้งหกทราบว่าจำเลยทั้งสองนำที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองเฉพาะส่วนเพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยทั้งสอง ครั้นเมื่อปี 2531 โจทก์ทั้งหกขอให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองและขายที่ดินดังกล่าวมิฉะนั้นก็ให้แบ่งแยกที่ดินและแบ่งตามส่วนแต่ละคน แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธอ้างว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสองคนละกึ่งโดยโจทก์ทั้งหมดไม่มีกรรมสิทธิ์ และต้นปี 2530 จำเลยทั้งสองได้นำที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวไปให้เช่าทำนากุ้ง และได้รับค่าเช่าไปแล้วแต่จำเลยทั้งสองมิได้นำเงินค่าเช่าแบ่งให้โจทก์ทั้งหกตามส่วนโจทก์ทั้งหกเคยแจ้งให้จำเลยทั้งสองขายที่ดินดังกล่าวนำเงินแบ่งตามส่วน หรือมิฉะนั้นก็ให้แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ทั้งหกตามส่วนแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน แล้วให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์ทั้งหกตามส่วนที่ลงทุน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยเป็นหุ้นส่วนหรือเป็นตัวแทนเพื่อซื้อขายที่ดินกับโจทก์ทั้งหก จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งหกมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมอบหมายให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนแต่อย่างใด จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสำราญ ยมนา ตั้งแต่ปี 2513และโจทก์ทั้งหกฟ้องว่าจำเลยทั้งสองปฏิเสธไม่ส่งมอบโฉนดที่ดินของที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เมื่อปี 2520 โจทก์ทั้งหกจึงทราบถึงข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตั้งแต่ปี 2520 แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 เกินกว่า 10 ปีแล้วฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนวันนัดชี้สองสถาน จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 อ้างว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นที่ดินมีโฉนดมีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยซื้อมาจากนายสำราญ ยมนา ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2513 ซึ่งเป็นเวลา18 ปีเศษแล้ว ไม่มีชื่อโจทก์ทั้งหกถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย แต่โจทก์ทั้งหกเพิ่งมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2531 ซึ่งเกิน 10ปีแล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งหกจึงขาดอายุความ
โจทก์ทั้งหกคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นแล้วเห็นว่าตามที่โจทก์ฟ้องเป็นที่เข้าใจว่า โจทก์ทั้งหกและจำเลยทั้งสองเข้าหุ้นเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ตามที่โจทก์ทั้งหกขอในคำท้ายฟ้องโจทก์ทั้งหกต้องการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญ ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1056 ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งจะต้องบอกเลิกเมื่อสิ้นรอบปีในทางบัญชีเงินและต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหกเดือนแต่โจทก์ทั้งหกไม่ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับข้อนี้ เมื่อโจทก์ทั้งหกยังมิได้บอกเลิกโจทก์ทั้งหกจึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานของโจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระแสความแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นนี้มีเพียงว่า จะให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยให้เสร็จสิ้น แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือไม่ พิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้วได้ความว่า โจทก์ทั้งหกและจำเลยทั้งสองได้นำเงินมาลงหุ้นเพื่อซื้อที่ดินพิพาทมาขายแบ่งกำไรกันและจำเลยทั้งสองได้ยึดถือที่ดินพิพาท ซึ่งมีชื่อจำเลยทั้งสองในโฉนดที่ดินแทนส่วนของโจทก์ทั้งหก ต่อมาจำเลยทั้งสองนำไปจำนอง ให้เช่าและกล่าวอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสองโดยโจทก์ทั้งหกไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ จึงขอให้จำเลยทั้งสองแบ่งให้โจทก์ทั้งหกตามส่วนและจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทั้งในฐานะการเป็นหุ้นส่วนและการเป็นเจ้าของรวม ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายจึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งหกและจำเลยทั้งสองเป็นหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียนย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะในข้อนี้จำเลยยังให้การปฏิเสธอยู่ทั้งยังให้การปฏิเสธในเรื่องการเป็นเจ้าของรวมอีกด้วย ตามรูปคดีจำต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความต่อไปให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะด่วนวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยให้เสร็จสิ้นแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share