แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อสิ่งปลูกสร้างที่ได้ถูกยึดไว้ในคดีล้มละลายไม่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่72/1ตามที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยได้ใช้สิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินปลูกสร้างตึกแถวและอาคารระหว่างผู้ร้องกับจำเลยปลูกสร้างขึ้นถูกยึดไว้ด้วยผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่72/1ได้ แม้ผู้ร้องอ้างว่ามีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินของจำเลยแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเมื่อครบอายุสัญญาเช่าซึ่งขณะนี้ยังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาก็ตามก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้นการยึดที่ดินหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งห้าล้มละลายเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2530 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งห้าเด็ดขาด เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2530 และพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าล้มละลายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2530ชั้นวิธีจัดการทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ผู้คัดค้านได้โอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2398 แขวงบางมด เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1514/2530 ของศาลชั้นต้นเข้าไว้ในกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 คดีนี้และอยู่ระหว่างผู้คัดค้านประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านขอให้ถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าว ผู้คัดค้านมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินโฉนดเลขที่ 2398 ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2 เนื่องจากผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 มีกำหนดเวลา 30 ปี นับแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2529 เพื่อผู้ร้องจะปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 เมื่อครบกำหนดเวลาเช่า จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าการเช่า ต่อมาผู้ร้องได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 บนที่ดินดังกล่าว ในระหว่างอายุสัญญาเช่าสิ่งปลูกสร้างยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้คัดค้านได้ยกคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ถอนการยึดทรัพย์โดยไม่งดการขายไว้ก่อนเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีล้มละลายและการชำระบัญชี พ.ศ. 2520 ข้อ 62 และ 63ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านและให้เพิกถอนการยึดทรัพย์รวมทั้งยกเลิกการประกาศขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 2398พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินทั้งหมดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 158
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า สิ่งปลูกสร้างที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในคำร้องไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างที่ประกาศขายทอดตลาดผู้ร้องเพิ่งได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 เมื่อวันที่1 กันยายน 2536 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบ้านเลขที่ 72 และบ้านไม่มีเลขที่อีก 3 หลัง ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทที่ประกาศขายทอดตลาดผู้ร้องยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ล่าช้า คำสั่งของผู้คัดค้านชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นตามที่ผู้ร้องและผู้คัดค้านนำสืบว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าขอให้ล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งห้าเด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2530 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่20 พฤศจิกายน 2530 เจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1514/2530 ของศาลชั้นต้นได้โอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2398พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72 ซึ่งเป็นตึกสองชั้น 1 หลังบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ 1 หลัง โรงงาน 1 หลัง และโรงเก็บของ 1 หลังของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย ค.2 และ ค.3 มารวมไว้ในคดีนี้ผู้คัดค้านได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2ครั้งแรกในวันที่ 13 ธันวาคม 2536 แต่ขายไม่ได้เพราะมีผู้สู้ราคาให้ราคาต่ำ และได้ประกาศขายครั้งที่สองในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537เวลา 9 นาฬิกา ตามเอกสารหมาย ร.1 วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2537ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์ต่อผู้คัดค้าน อ้างว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2398 ติดภาระผูกพันตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ร.2และบ้านเลขที่ 72/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์คืนให้แก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านมีคำสั่งยกคำร้อง ตามเอกสารหมาย ค.1หรือ ร.6
ผู้ร้องฎีกาเป็นข้อแรกในปัญหาว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดทรัพย์บ้านเลขที่ 72/1 แขวงบางมด เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร ได้หรือไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 158 บัญญัติไว้ว่า “ผู้มีส่วนได้เสียคนใดเห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์” ตามสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินปลูกสร้างตึกแถวและอาคารเอกสารหมาย ร.2 ข้อ 7ได้ระบุไว้ว่า ผู้ให้เช่าตกลงยินยอมให้ผู้เช่าทำการรื้อถอนบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกสร้างบนที่ดินได้ทั้งหมด ยกเว้นบ้านเลขที่ 72 ที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเท่านั้น และตามรายงานเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ยึดทรัพย์ฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2530ปรากฏว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2398ซอยสุขสวัสดิ์ 2 ถนนสุขสวัสดิ์ แขวงบางมด เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร และสิ่งปลูกสร้างคือ บ้านตึกสองชั้น 1 หลังโรงงาน 1 หลัง และโรงเก็บของ 1 หลัง เลขทะเบียน 72ตามเอกสารหมาย ค.3 และตามประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรื่อง ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย ร.1มีรายการทรัพย์ที่จะขายตรงตามเอกสารหมาย ค.3 โดยเอกสารหมาย ร.1นี้ มีผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องเบิกความรับรองความถูกต้องและผู้ร้องอ้างส่ง ทั้งจำเลยที่ 2 ยังเบิกความอีกว่าบ้านเลขที่ 72/1 ไม่ได้ถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ด้วยข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า สิ่งปลูกสร้างรวม 4 รายการ ที่ได้ถูกยึดไว้ดังกล่าวและได้โอนการยึดมาไว้ในคดีนี้ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 ตามที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องได้ใช้สิทธิตามสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินปลูกสร้างตึกแถวและอาคารเอกสารหมาย ร.1 ปลูกสร้างขึ้นถูกยึดไว้ด้วยแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 72/1 ในคดีนี้ได้
ผู้ร้องฎีกาเป็นปัญหาข้อสุดท้ายว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2398 เลขที่ดิน 224 แขวงบางมดเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ร้องอ้างว่ามีสัญญาต่างตอบแทนการเช่าที่ดินของจำเลยที่ 2 เพื่อปลูกสร้างตึกแถวและอาคารลงในที่ดินดังกล่าวแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 เมื่อครบอายุสัญญาเช่า 30 ปี นับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าคือวันที่ 15 พฤศจิกายน 2529 ตามเอกสารหมาย ร.1ซึ่งยังไม่ครบกำหนดอายุสัญญาก็ตาม ก็เป็นแต่เพียงสิทธิตามสัญญาเช่าอันมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนเท่านั้น การยึดที่ดินดังกล่าวหาได้กระทบต่อสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินเลขที่ 2398 ได้
พิพากษายืน