แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องกล่าวในคำร้องว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจาก ช. แต่นำสืบว่า จ. มารดาผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจาก ช. แล้ว ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทต่อจาก จ. อีกทีหนึ่ง เป็นการนำสืบถึงที่มาของที่ดินพิพาทและการได้ที่ดินพิพาทมา ไม่ถือว่าทางนำสืบต่างกับคำร้องถึงขนาดเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นายทัด เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๐๗ และนายชุ่ม อำแดงแช่ม สามีภรรยากัน ได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๑ ให้ผู้ร้อง ที่ดินทั้งสองแปลงตั้งอยู่อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี ผู้ขายได้มอบโฉนดให้ผู้ร้องยึดถือไว้ ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินเกิน ๑๐ ปี และได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๒๑ เป็นของนางกาหรี่ จาริก ผู้คัดค้าน เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนางกาหรี่ยังไม่มีการแบ่งที่ดินแปลงนี้ให้แก่ทายาท ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๐๗ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ส่วนที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๒๑ ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ คำขอเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ให้ยก
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๒๑ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากนางจีบแล้วผู้ร้องให้นางสมศรีปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ ๑๗ ปี ซึ่งมีผลเท่ากับผู้ร้องให้นางสมศรีครอบครองที่ดินพิพาทแทนโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาจนปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๓๘๒ การที่ผู้ร้องกล่าวในคำร้องว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากนายชุ่ม อำแดงแช่ม แต่นำสืบว่านางจีบมารดาผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทจากนายชุ่ม อำแดงแช่ม แล้วผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทต่อจากนางจีบอีกทีหนึ่งนั้นเป็นการนำสืบถึงที่มาของที่ดินพิพาทและการได้ที่ดินพิพาท จึงไม่ขัดกันเองอันจะเป็นเหตุให้รับฟังไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.