คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4308/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ชวนผู้เสียหายที่ 1 ค. และ ซ. ซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเที่ยว จำเลยที่ 1 มาพบระหว่างทาง จึงตามไปด้วย โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ชักชวนหรือให้ ค. ชักชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยว โจทก์มีแต่คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเท่านั้นว่าร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร แต่คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงพยานบอกเล่าการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 277,317 นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 และที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1570/2542 ของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 และที่ 1 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสามประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 8 ปี ฐานพรากเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 13 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 6 เดือน ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1570/2542 ของศาลชั้นต้นนั้นคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ไม่อาจนับโทษต่อได้ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 1ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุก 8 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1กระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 เด็กหญิง ค. และเด็กหญิง ซ. พยานโจทก์ว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 2ชวนพยานทั้งสามไปเที่ยวโดยผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ค. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของชายคู่แฝดคนหนึ่ง ส่วนเด็กหญิง ซ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 มุ่งหน้าไปยังอำเภอควนกาหลง รถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้ายตามไม่ทันจึงจอดอยู่ที่บริเวณสะพานคอนกรีตใกล้ที่ว่าการอำเภอควนกาหลงนานประมาณ 30 นาทีจำเลยที่ 1 กับพวกมาพบผู้เสียหายที่ 1 กับพวก เมื่อรอแล้วจำเลยที่ 2 ไม่มา ชายคู่แฝดจึงขับรถจักรยานยนต์ตามไปที่ขนำซึ่งอยู่ในสวนยางพารา จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถตามไปด้วย ผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ค. พบเด็กหญิง ซ. เดินลงมาจากขนำ ผู้เสียหายที่ 1 จึงชวนกลับบ้าน แต่เด็กหญิง ซ. ลืมนาฬิกาข้อมือและกระเป๋าสตางค์ไว้บนขนำและชวนผู้เสียหายที่ 1 และเด็กหญิง ค. ไปค้นหา เมื่อไปถึงจำเลยที่ 1 กระชากผู้เสียหายที่ 1เข้าไปในห้องแล้วใช้กำลังทำร้ายและกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 จนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้งเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 กับพวกพาผู้เสียหายที่ 1เด็กหญิง ค. และ เด็กหญิง ซ. ไปเที่ยว แล้วจำเลยที่ 1 มาพบระหว่างทางจึงตามไปด้วยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนหรือให้เด็กหญิง ค. ชักชวนผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยว โจทก์ คงมีแต่คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนเท่านั้นว่าร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร แต่คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1ดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1ในความผิดข้อหาดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share