แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ภายในกำหนดอายุอุทธรณ์และศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ไว้แล้วต่อมา เมื่อล่วงเลยกำหนดอายุอุทธรณ์ จำเลยจึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่งซึ่งมีลักษณะและเนื้อหาเป็นการเพิ่มปัญหาขึ้นจากที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้แล้วถือเท่ากับเป็นการยื่นอุทธรณ์นั่นเองซึ่งจะต้องกระทำภายในกำหนด 15 วันศาลไม่รับเป็นเพิ่มเติมอุทธรณ์แต่ให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์
ความผิดฐานมีไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองกับความผิดฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองเป็นความผิดต่างกรรมกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบท หลายกระทงต่างกรรมกันกล่าวคือ เมื่อระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2522 ถึงวันที่ 5 มกราคม2523 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับนายสงวนพงษ์หรือแป๊ะ ธรรมเสรี หรือ ณ ระนอง ได้ร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ในโรงงานไม่มีเลขที่ถนน ณ ระนอง แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครโดยใช้เครื่องจักรคือ เครื่องไสไม้ขนาด 1.25 แรงม้า จำนวน 2 เครื่อง เครื่องกลึงไม้ขนาด 0.25 แรงม้า จำนวน 1 เครื่องและใช้คนรวม 7 คน เพื่อทำ ผลิต ประกอบ เลื่อย ไส กลึงไม้ อันเป็นโรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับไม้โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วจำเลยกับนายสงวนพงษ์หรือแป๊ะ ธรรมเสรีหรือ ณ ระนอง ได้ร่วมกันประกอบกิจการโรงงานโดยเปิดดำเนินงาน ทำ ผลิต ประกอบ เลื่อย ไส กลึงไม้ขึ้นที่โรงงานดังกล่าวโดยไม่ได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน กับตามวันเวลาดังกล่าวซึ่งมีประกาศกำหนดให้เป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ จำเลยกับนายสงวนพงษ์หรือแป๊ะ ธรรมเสรี หรือ ณ ระนองได้ร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้ร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และได้ร่วมกับพวกทำการแปรรูปไม้ ไม้พยุงไม้พุด อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. และเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2523 เวลากลางวัน ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมีไม้แปรรูปโดยมีไม้พยุงถากกลมจำนวน 60 ท่อน ปริมาตรา 8.70ลูกบาศก์เมตร ไม้พยุงเหลี่ยมจำนวน 110 เหลี่ยม ปริมาตรา 8.73 ลูกบาศก์เมตรไม้พุดถากกลม จำนวน 2 ท่อน ปริมาตร 0.01 ลูกบาศก์เมตร รวมปริมาตรทั้งหมด17.44 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และร่วมกันมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้พุดอันเป็นไม้หวงห้ามประเภทก. ยังมิได้แปรรูปจำนวน 1,075 ท่อน ปริมาตร 17.50 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงและรอยตรารัฐบาลขายประทับที่ไม้ดังกล่าว ทั้งพิสูจน์ไม่ได้ว่า ได้ไม้นั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 ฯลฯ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ฯลฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 2 ริบของกลาง จ่ายสินบนนำจับ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2512 มาตรา 8, 12, 43, 44 พระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2518 มาตรา 5, 11 พระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 4 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 69, 73, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12, 17, 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2518 มาตรา 19, 27, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3, 7, 9 ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน2499 ข้อ 1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ให้เรียงกระทงลงโทษ ลงโทษฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 6 เดือน ฐานทำการแปรรูปไม้บทหนัก จำคุก 6 เดือน มีไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครอง จำคุก 2 ปีรวมโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ของกลางริบจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 73(2) แก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองอีกกระทงหนึ่งจำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปีรวมเป็นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษและไม่รอการลงโทษเหมาะสมแล้วไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไข
จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับคำร้องขอเพิ่มเติมอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองอีกกระทงหนึ่งไม่ได้ เพราะเป็นกรรมเดียวกันกับความผิดฐานมีไม้หวงห้ามมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองซึ่งเป็นบทหนัก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่าศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้เมื่อวันที่ 12 กันยายน2523 จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน2523 ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ในวันเดียวกันนั้น ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2523ซึ่งเป็นเวลาที่ล่วงเลยกำหนดอายุอุทธรณ์ 15 วันแล้ว จำเลยจึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมอุทธรณ์อีกฉบับหนึ่งว่าความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ควรลงโทษบทหนักในข้อหามีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษว่าผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นการไม่ชอบ เห็นว่า การเพิ่มเติมอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวมีลักษณะและเนื้อหาเป็นการเพิ่มปัญหาขึ้นจากที่ศาลสั่งรับไว้แล้ว คือเท่ากับเป็นการยื่นอุทธรณ์นั่นเอง ซึ่งจะต้องกระทำภายในกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198เช่นเดียวกันศาลอุทธรณ์ไม่รับเป็นเพิ่มเติมอุทธรณ์ แต่ให้รับไว้เป็นคำแถลงการณ์จึงชอบแล้ว ส่วนความผิดฐานมีไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองกับความผิดฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองนั้นเป็นความผิดต่างกรรมกัน มิใช่กรรมเดียว ศาลอุทธรณ์เรียงกระทงลงโทษชอบแล้ว
พิพากษายืน