คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 430/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินสรรพากร ประเมินภาษีเงินได้และเรียกเงินเพิ่มจากโจทก์เกินไปกว่าที่โจทก์จะต้องเสีย 1 ล้านบาทเศษ โจทก์อุทธรณ์ อะิบดีกรมสรรพากร มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์จึงมาฟ้องศาลตามประมวลรัษฎากรกรมมาตรา30(2) ขอให้ศาลพิพากษายกหรือกลับแก้การประเมินและคำสั่งชี้ขาดของอธิบดีกรมสรรพากรที่ให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีเพิ่มเติม อันไม่ถูกต้องนั้นเสีย ดังนี้ เป็นการฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ การที่จะไม่ต้องเสียเงินจำนวนนั้น อันเป็นทรัพย์ที่พิพาท แม้คำของท้ายฟ้องโจทก์จะเบี่ยงบ่ายไปประการใด ก็หาทำให้ผลแห่งคำการปลดเปลื้องทุกข์เปลี่ยนแปลงไปได้ไม่ ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจพิจารณา พิพากษาคดีนี้
ได้
ระยะเวลาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ที่ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของอธิบดี หรือข้าหลวงประจำจังหวัดต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน ฯลฯ นั้น เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉะนั้นเมื่อมีเหตุอันสมควร ศาลสั่งให้ขยายระยะเวลานั้นได้ตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 23.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและร้องเพิ่มเติมฟ้องต่อศาลแขวงพระนครใต้ เมื่อเดือนเมษายน ๒๔๙๒ โจทก์ได้รับหนังสือจากเจ้าพนักงานประเมินสรรพากร ประเมินภาษีเงินได้ พ.ศ. ๒๔๘๘, พ.ศ. ๒๔๘๙ และ พ.ศ. ๒๔๙๐ และเรียกเงินเพิ่มตามมาตรา ๒๒ แห่งประมวลรัษฎากรให้นำเงิน ๙๔๔,๗๘๓.๓๔ บาท สำหรับ พ.ศ. ๒๔๙๐ ไปชำระ โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงได้อุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมสรรพากรตามความในมาตรา ๒๐ และ ๓๐ แห่งประมวลรัษฎากร ขอให้อธิบดีกรมสรรพากรสั่งปลดภาษีที่เรียกเก็บสำหรับ พ.ศ. ๒๔๘๘, ๒๔๘๙ และ ๒๔๙๐ ที่เจ้าพนักงานประเมินได้เรียกเก็บเพิ่มเติมเสียทั้งสิ้น อธิบดีกรมสรรพากรได้มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับ พ.ศ. ๒๔๘๙ และ พ.ศ. ๒๔๙๐ อาศํยอำนาจตามความในมาตรา ๓๐ (๒) โจทก์จึงอุทธรณ์คัดค้านคำชี้ขาดนั้น ขอให้ศาลพิพากษายกหรือกลับแก้การประเมินและคำสั่งชี้ขาดของอธิบดีกรมสรรพากร ที่ให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีเพิ่มเติมอันไม่ถูกต้องนั้นเสีย
ศาลแขวงพระนครใต้เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันด้วยเงินภาษีหรือทรัพย์สินเป็นจำนวนถึง ๑,๗๒๗,๙๐๗.๐๙ บาท คดีไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์,จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า กรณีนี้โจทก์ต้องเสียเงินค่าภาษีใน ๒ ปี นั้นเพิ่มขึ้นอีก ๑,๗๒๗,๔๐๗ บาท ๐๙ สตางค์ เหตุที่โจทก์ต้องเสียก็เพราะการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของอธิบดี ฉะนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าทุกข์ของโจทก์ ก็คือการต้องสูนย์เสียเงินล้านเจ็ดแสนเศษนั้น การประเมินของเจ้าพนักงานหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของอธิบดีเป็นแต่เพียงต้นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์อันแท้จริงที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลปลดเปลื้องนั้น ก็คือการที่จะไม่ต้องเสียเงินจำนวนนั้น อันเป็นทรัพย์สินที่พิพาท คำขอท้ายฟ้องจะเบี่ยงบ่ายไปประการใด หาทำให้ผลแห่งการขอปลดเปลื้องทุกข์เปลี่ยนไปได้ ไม่ดังที่เคยวินิจฉัยไว้ในคำสั่งคดียกที่ ๑๕๕๙/๒๔๙๒ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์และอาศัยอำนาจตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๑๔๘ วรรค ๓ ประกอบด้วยมาตรา ๒๓ ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ขยายระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่งอันกำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรมาตรา ๓๐(๒) ให้โจทก์มิสิทธิที่จะฟ้องใหม่ต่อศาลที่ถูกต้องภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้

Share