แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยรับซื้อ กระบือไว้ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาสอบถามจำเลยไม่บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าตนเองเป็นผู้ซื้อกระบือไว้และปิดบังผู้ขาย แต่กลับนำเจ้าพนักงานตำรวจติดตามหากระบือไปในที่ต่าง ๆ เป็นการกระทำที่ส่อถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของจำเลยประกอบกับการซื้อขายไม่มีการพูดถึงตั๋วพิมพ์รูปพรรณว่ามีถูกต้องตรงกันหรือไม่ และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง ซึ่ง เป็นการผิดวิสัยของจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อขายกระบือเป็นประจำ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะนำกระบือที่ซื้อไปเลี้ยงในที่เปิดเผย และเวลากลางวันก็นำมาผูกไว้ที่บ้านซึ่งอยู่ติดถนน เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยนำไปเลี้ยงและเก็บไว้รวมกับกระบือตัวอื่น ๆ ของจำเลยอีกถึง 4 ตัว ย่อมทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจได้ว่ากระบือทั้งหมดเป็นของจำเลย ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อกระบือไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334,347
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ให้จำคุก 2 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติจากการนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยรับซื้อกระบือของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปจริง ปัญหาว่าจำเลยรับซื้อ ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์2532 กระบือของนายไสว พวงเพ็ชร ผู้เสียหายได้หายไป 1 ตัว ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2532 นายดำรงศักดิ์ บุตรดีวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านเลขที่ 6 ตำบลม่วง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร ได้รับแจ้งว่ามีชายแปลงหน้านำกระบือตัวหนึ่งมาหลบซ่อนไว้ในทุ่งนา มีพฤติการณ์น่าสงสัย จึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านม่วง ร้อยตำรวจศรีวิชาญ ปานทอง กับพวก ได้ออกติดตามและทราบจากชาวบ้านว่าชายแปลกหน้าอยู่ที่บ้านจำเลยเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตามมาที่บ้านจำเลย จำเลยบอกว่าชายแปลกหน้าได้นำกระบือไปแล้ว ทั้งยังได้นำเจ้าพนักงานตำรวจเดินหาบริเวณทุ่งนาแต่ไม่พบ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจพบกระบือที่ชายแปลกหน้านำมาอยู่ที่ใต้ถุนบ้านของจำเลย จำเลยจึงยอมรับว่าชายแปลกหน้าคือนายกูด และจำเลยได้รับซื้อกระบือไว้ในราคา 7,600 บาทเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวจำเลยมาที่บ้านของนายดำรงศักดิ์ จำเลยบอกนายดำรงศักดิ์ว่าได้ซื้อกระบือจากนายกูดไว้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การตามเอกสารหมาย จ.4 เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยปิดบังผู้ขายเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาสอบถาม และการที่จำเลยไม่บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าตนเองเป็นผู้ซื้อกระบือไว้แต่กลับนำเจ้าพนักงานตำรวจติดตามหากระบือและนายกูดไปในที่ต่าง ๆ นั้นเป็นการกระทำที่ส่อถึงเจตนาไม่สุจริตของจำเลย ประกอบการซื้อขายไม่มีการพูดถึงตั๋วพิมพ์รูปพรรณว่ามีถูกต้องตรงกันหรือไม่ และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงซึ่งเป็นการผิดวิสัยของจำเลยซึ่งมีอาชีพเช่นนี้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะนำกระบือที่ซื้อไปเลี้ยงในที่เปิดเผย และเวลากลางคืนก็นำมาผูกไว้ที่บ้านซึ่งอยู่ติดถนนเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยนำไปเลี้ยงและเก็บไว้รวมกับกระบือตัวอื่น ๆ ของจำเลยอีกถึง 4 ตัว ย่อมทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจได้ว่ากระบือทั้งหมดเป็นของจำเลย ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยรับซื้อกระบือไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยซื้อกระบือดังกล่าวบริเวณตลาดโดยมีชาวบ้านเข้าประมูลซื้อหลายคน และมีนายสมจิตร สุริศาสตร์ และนายจันทร์ คำธิ พยานจำเลยเบิกความว่าเห็นจำเลยซื้อกระบือบริเวณหน้าร้านนายประเสริฐในหมู่บ้านและมีชาวบ้านคนอื่นเข้าต่อรองราคาด้วย เป็นทำนองจะให้เห็นว่าจำเลยได้รับซื้อโดยสุจริตไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดนั้น เห็นว่าข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวขัดต่อคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน เพราะจำเลยให้การว่าได้ซื้อกระบือจากนายกูดที่บ้านของจำเลย คำให้การในชั้นสอบสวนได้กระทำขึ้นในวันที่จำเลยถูกจับกุมอันเป็นระยะกระชั้นชิด จำเลยย่อมไม่มีเวลาหาข้อแก้ตัวประกอบกับจำเลยไม่นำสืบว่าคำให้การในชั้นสอบสวนไม่ถูกต้องอย่างไร แต่กลับได้ความว่าในระหว่างพิจารณาจำเลยรับว่า คำให้การของตนในชั้นสอบสวนนั้นถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง โจทก์จึงได้ส่งคำให้การเป็นพยานต่อศาล จึงน่าเชื่อว่าคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนตรงกับความจริง ข้อนำสืบของจำเลยจึงเป็นพิรุธและรับฟังไม่ได้ ส่วนที่พยานจำเลยทั้งสองปากเบิกความว่า เห็นจำเลยซื้อกระบือที่ตลาดนั้นเห็นว่า ถ้าเป็นจริงแล้วจำเลยก็น่าจะนำพยานทั้งสองไปให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างถูกสอบสวน แต่จำเลยก็หาได้กระทำไม่ พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาดังกล่าวไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยฐานรับของโจรมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.