คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13612/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การต่อศาล โดยคำให้การข้อ 1 ระบุว่า “จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธฟ้อง โดยขอให้การใหม่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง เพื่อประโยชน์และสะดวกในการพิจารณาของศาล” และข้อ 4 จำเลยให้รายละเอียดว่านาย ก. นำห่อกระดาษมาฝากจำเลยใส่กระเป๋ากางเกงของจำเลยไว้ โดยจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน ซึ่งหากเป็นความจริงดังที่ให้การก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด แม้ข้อ 5 จะขอให้ศาลกำหนดโทษน้อยหรือขอให้รอการลงอาญาแก่จำเลย ก็ไม่ทำให้เห็นไปได้ว่าคำให้การดังกล่าวเป็นคำให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้เลย เมื่อจำเลยให้การโดยระบุรายละเอียดต่างๆ ไว้ ก็ต้องนำรายละเอียดต่างๆ มาพิจารณาประกอบด้วย จะพิจารณาเฉพาะข้อความที่ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ และเมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยยังคงให้การตามคำให้การที่ยื่นไว้ดังกล่าว คำให้การของจำเลยจึงเป็นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ มิใช่คำให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องดังที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อโจทก์แถลงไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66, 100/1, 102 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาให้การเป็นหนังสือ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามคำให้การจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดโทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน และปรับ 200,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า คำให้การของจำเลยฉบับลงวันที่ 4 กันยายน 2551 เป็นคำให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธฟ้องโจทก์ เห็นว่า หลังจากจำเลยให้การปฏิเสธแล้ว ต่อมาวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 4 กันยายน 2551 จำเลยยื่นคำให้การโดยในคำให้การข้อ 1 ระบุว่า “จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธฟ้อง โดยขอให้การใหม่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง เพื่อประโยชน์และสะดวกในการพิจารณาของศาล” และในข้อ 4 จำเลยให้รายละเอียดว่านายโกวิทนำห่อกระดาษมาฝากจำเลยใส่กระเป๋ากางเกงของจำเลยไว้ โดยจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน หากเป็นความจริงดังที่ให้การก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดและการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง แม้ในข้อ 5 ของคำให้การจะขอให้ศาลกำหนดโทษน้อย หรือขอให้รอการลงอาญาแก่จำเลยก็ไม่ทำให้เห็นไปได้ว่า คำให้การดังกล่าวเป็นคำให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อต่อสู้เลย เมื่อจำเลยให้การโดยระบุรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ก็ต้องนำรายละเอียดต่าง ๆ มาพิจารณาประกอบด้วย จะพิจารณาเฉพาะข้อความที่ว่าจำเลยขอให้การรับสารภาพตามฟ้องแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ และเมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยยังคงให้การตามคำให้การที่ยื่นไว้ดังกล่าว คำให้การของจำเลยจึงเป็นคำให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ มิใช่คำให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องดังที่ระบุไว้ตั้งแต่ต้น โจทก์จึงต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดและการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์แถลงไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางนั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share