แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทำหน้าที่เป็นพนักงานสินเชื่อประจำสาขาจังหวัดชุมพร เมื่อผู้จัดการสาขาชุมพร อนุญาตให้พนักงานธนาคารฝึกซ้อมกีฬาโดยถือเป็นการปฏิบัติงานของธนาคาร และตามระเบียบของธนาคารฉบับที่ 21 ว่าด้วยการแข่งขันกีฬาของธนาคารยังกำหนดว่าการฝึกซ้อมกีฬาและการแข่งขันกีฬาให้ถือเป็นการปฏิบัติงานของธนาคาร โจทก์ประสบอันตรายขณะฝึกซ้อมกีฬา จึงถือเป็นการประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง นายจ้างต้องจ่ายเงินทดแทนให้โจทก์
การกำหนดประเภทกิจการของนายจ้างก็เพื่อประโยชน์ในการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบ การจ่ายเงินทดแทนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและการอุทธรณ์ (ฉบับที่ 2 ) ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2517เท่านั้น หาใช่เป็นการจำกัดว่าลูกจ้างจะต้องประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานตามประเภทของกิจการของนายจ้างจึงจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนไม่
โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้พอให้เข้าใจแล้วว่า ค่าพาหนะเดินทางจากโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ไปโรงพยาบาลมิชชั่นที่โจทก์ต้องเสียไปคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตรวจ การรักษา การพยาบาลและการอื่นที่จำเป็นอันเป็นค่ารักษาพยาบาลตามกฎหมายแล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าค่าพาหนะตามที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาล โจทก์ไม่ต้องใช้รถพยาบาล ค่าพาหนะตามคำฟ้องจึงเป็นค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินทดเแทนที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนจะต้องจ่ายให้โจทก์ ที่ศาลแรงงาน-กลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าพาหนะจากการว่าจ้างรถพยาบาลเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสาขาชุมพร ทำหน้าที่สอบสวนผู้ขอกู้เงิน และยังเป็นนักกีฬาในตำแหน่งหัวหน้าทีมของธนาคารดังกล่าวตามคำสั่งที่ ๓๓/๒๕๓๑ ของผู้จัดการสาขา ธนาคารมีระเบียบฉบับที่ ๒๑ ว่าด้วยการแข่งขันกีฬาของธนาคารกำหนดไว้ เพื่อให้ลูกจ้างผ่อนคลายความตึงเครียดในงานประจำวัน อันส่งผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ภายในและภายนอกของธนาคาร โจทก์ฝึกซ้อมกีฬาบาสเกตบอล ขณะฝึกซ้อมโจทก์ถูกกระแทกล้มลง เกิดอาการเจ็บหน้าอกหายใจไม่สะดวกและทรุดหนักลงโจทก์ให้แพทย์ที่โรงพยาบาลชุมพรตรวจรักษาแต่ไม่ดีขึ้น จึงเข้ารักษาที่โรงพยาบาลวิรัชศิลป์ แต่อาการไม่ดีขึ้น โจทก์จ้างรถพยาบาลส่งตัวจากโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ไปโรงพยาบาลมิชชั่นจำนวน ๖,๙๐๐ บาทเสียค่ารักษาพยาบาล และโจทก์ต้องหยุดพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๑ ถึงวันที่ ๙ กันยายน๒๕๓๑ รวมเป็นเงินทดแทนทั้งสิ้นจำนวน ๑๗,๐๗๔ บาท จำเลยไม่จ่ายให้ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินทดแทนจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นพนักงานสินเชื่อ มีหน้าที่ปฏิบัติงานเพื่อต้อนรับเกษตรกรลูกค้าและให้บริการด้านการเงินแก่ลูกค้า ไม่มีหน้าที่เล่นกีฬาโจทก์มิได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า อาการเจ็บป่วยของโจทก์ไม่จำเป็นต้องใช้รถพยาบาล ค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาล จำเลยคงต้องรับผิดจ่ายเงินทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสองแห่งกับค่าทดแทนจำนวน ๒,๗๙๖ บาทเท่านั้น พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมแรงงานที่ มท.๑๑๑/๗๔๑๒ ลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๓๒ และให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน ๑๐,๑๗๔ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ได้ความว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ทำหน้าที่เป็นพนักงานสินเชื่อประจำอยู่ที่สาขาจังหวัดชุมพรนายสมชัย แสงสว่าง ผู้จัดการสาขาจังหวัดชุมพร มีคำสั่งที่ ๒๒/๒๕๓๑ เอกสารหมาย จ.๒ อนุญาตให้พนักงานธนาคารฝึกซ้อมกีฬาตั้งแต่เวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกา โดยถือเป็นการปฏิบัติงานของธนาคาร ตามคำสั่งดังกล่าวโจทก์เป็นหัวหน้าทีมนักกีฬา นอกจากนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนายจ้างของโจทก์ยังมีระเบียบฉบับที่ ๒๑ ว่าด้วยการแข่งขันกีฬาของธนาคารเอกสารหมาย จ.๓ กำหนดวัตถุประสงค์ในการแข่งขันกีฬาของธนาคารตามข้อ ๓ (๓) ว่า เพื่อเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดของพนักงานจากการปฏิบัติงานประจำวันอันจะส่งผลให้การปฏิบัติงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและตามข้อ ๓ (๔) เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ภายในและภายนอกของธนาคาร ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการแข่งขันกีฬาก็เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่การบริหารงานของนายจ้างนั่นเอง ระเบียบดังกล่าวข้อ ๒๐ยังได้กำหนดว่าการแข่งขันกีฬาและการฝึกซ้อมกีฬาของพนักงานธนาคารตามข้อ ๑๑ ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติงานของธนาคาร ส่วนประเภทของกีฬาก็มีกำหนดไว้ในข้อ ๗ ว่า การแข่งขันบาสเกตบอลเป็นกีฬาที่จัดอยู่ในประเภทการแข่งขันของธนาคาร ฉะนั้น การที่โจทก์ฝึกซ้อมกีฬาบาสเกตบอล จึงถือว่าเป็นการทำงานให้นายจ้าง แม้โจทก์ประสบอันตรายในขณะฝึกซ้อมเมื่อเวลา ๑๘ นาฬิกา ซึ่งอยู่นอกเวลาทำงานปกติ ก็ไม่ถือว่าโจทก์ประสบอันตรายนอกเวลาทำงานปกติของนายจ้าง เพราะตามคำสั่งที่๓๓/๒๕๓๑ กำหนดให้นักกีฬาทำการฝึกซ้อมได้ตั้งแต่เวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกาเป็นต้นไป ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การประสบอันตรายของโจทก์เนื่องจากการทำงานให้นายจ้างชอบแล้ว และ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง อัตราและวิธีเรียกเก็บเงินสมทบ การจ่ายเงินทดแทนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและการอุทธรณ์ (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๗ ข้อ ๒ กำหนดให้นายจ้างจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามอัตราเงินสมทบซึ่งกำหนดไว้ในตารางที่ ๑ ท้ายประกาศนั้นและเงินสมทบให้คำนวณจากค่าจ้างที่นายจ้างจะต้องจ่ายและอัตราเงินสมทบของประเภทกิจการของนายจ้างผู้นั้น ดังนั้นการกำหนดประเภทกิจการของนายจ้างก็เพื่อประโยชยน์ในการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเท่านั้น หาใช่เป็นการจำกัดว่า ลูกจ้างจะต้องประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานตามประเภทกิจการของนายจ้างจึงจะมีสิทธิรับเงินทดแทนไม่ เพราะประเภทกิจการหนึ่งอาจจะมีการทำงานหลายอย่างรวมกันอยู่ เช่น ประเภทกิจการสถาบันทางการเงิน มีกิจการประจำคืองานเกี่ยวกับการเงิน แต่ก็อาจมีงานขับรถยนต์ติดต่อกับบุคคลภายนอกหรือการกีฬารวมอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การฝึกซ้อมกีฬาบาสเกตบอลของโจทก์ถือว่าเป็นการทำงานให้นายจ้างดังได้วินิจฉัยมาแล้ว เมื่อโจทก์ประสบอันตรายโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับเงินทดแทน
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เงินค่าพาหนะจำนวน ๖,๙๐๐ บาทไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาลเป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๒ ให้คำนิยามว่า ” ค่ารักษาพยาบาล” หมายความว่าค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตรวจ การรักษา การพยาบาลและการอื่นที่จำเป็นเพื่อให้ผลของการประสบอันตรายหรือการเจ็บป่วยบรรเทาหรือหมดสิ้นไป ฯลฯ โจทก์บรรยายฟ้องได้ความว่า เมื่อโจทก์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลวิรัชศิลป์ที่จังหวัดชุมพร แพทย์โรงพยาบาลวิรัชศิลป์รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมิชชั่นที่กรุงเทพมหานคร โจทก์ต้องเสียค่าพาหนะเดินทางจากโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ไปโรงพยาบาลมิชชั่น คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายไว้พอให้เข้าใจว่า ค่าพาหนะคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตรวจ การรักษา การพยาบาลและการอื่นที่จำเป็นอันเป็นค่ารักษาพยาบาลตามกฎหมายแล้วจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า ค่าพาหนะตามที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาล โจทก์ไม่ต้องใช้รถพยาบาลในการเดินทางเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมิชชั่น ค่าพาหนะตามคำฟ้องจึงเป็นค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงินทดแทนที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนของจำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าพาหนะจากการว่าจ้างรถพยาบาล เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินค่าพาหนะจำนวน ๖,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (รวมเงินทดแทนที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน ๑๗,๐๗๔ บาท) นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.