คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1414/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำฟ้องโดยไม่มีข้อตกลงว่าหากป.ผิดนัดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการไม่ชอบเมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย เมื่อผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองให้จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้แล้วจำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงได้ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเป็นการไม่ชอบ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ป.ทำไว้กับโจทก์แม้มูลหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จะมิได้เกิดจากการกู้ยืมดังที่โจทก์กล่าวอ้างแต่เกิดจากการขายที่ดินดังที่จำเลยให้การก็ตามหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ก็เป็นมูลหนี้ที่ชอบมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมายส่วนมูลหนี้จะเกิดจากการกู้ยืมหรือเกิดจากการขายที่ดินหาใช่ข้อสำคัญไม่ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้หาใช่การวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องดังที่จำเลยฎีกาไม่ ข้อตกลงที่ป.จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์แต่มิได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นโมฆะจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้วจึงมีประเด็นข้อนี้ในคดีแต่ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ซึ่งจำเลยได้แถลงโต้แย้งขอเพิ่มประเด็นข้อนี้ไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้โดยฟังว่าจำเลยไม่ได้ขอเพิ่มประเด็นข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่เป็นการจะให้ที่ดินแก่โจทก์โดยตรงแต่เป็นการจะให้ที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินในการหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันระหว่างป.กับโจทก์ข้อตกลงดังกล่าวย่อมสมบูรณ์มีผลผูกพันกันได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของป.รับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ป.ทำไว้กับโจทก์ส่วนอีกคดีเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องป.เป็นจำเลยให้ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาหย่าที่ป.ทำไว้กับโจทก์แล้วป.ประพฤติผิดสัญญาดังนี้จำเลยในคดีนี้กับจำเลยในคดีดังกล่าวจึงเป็นคนละคนกันข้อพิพาทก็เป็นเรื่องคนละประเด็นกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ก็สั่งให้จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ได้ประกอบกับโจทก์ได้แก้อุทธรณ์ไว้แล้วที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมพันเอกประเสริฐ สารพัฒน์ เป็นหนี้เงินกู้โจทก์และได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ไว้จำเลยเงิน 33,500 บาท โดยจะผ่อนชำระให้โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 1,000 บาท เริ่มแต่สิ้นเดือนมีนาคม 2530 เป็นต้นไปหลังจากนั้น พันเอกประเสริฐได้ผ่อนชำระให้โจทก์เพียง 2 เดือน รวมเป็นเงิน 2,000 บาทแล้วผิดนัดไม่ผ่อนชำระให้โจทก์อีกเลย ต่อมาพันเอกประเสริฐได้ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของพันเอกประเสริฐชำระหนี้ที่ค้าง จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 31,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน2,165.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 33,665.50 บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน31,500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นภริยาของพันเอกประเสริฐ ต่อมาได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกไว้ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1พันเอกประเสริฐ ได้ปฏิบัติตามข้อ 3 ในเอกสารดังกล่าว โดยทำการไถ่ถอนจำนองที่ดินแล้วนำไปขายเหลือเงินจากหักชำระหนี้และค่าธรรมเนียมแล้ว จำนวน 38,000 บาทเศษ เงินจำนวนดังกล่าวโจทก์ได้ติดตามเรียกร้อง พันเอกประเสริฐจึงได้ทำบันทึกใช้หนี้ดังกล่าวให้มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิดจากสัญญาหย่าตามเอกสารที่กล่าวถึงข้างต้นซึ่งเป็นข้อตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแก่โจทก์เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามฟ้องอันได้มาจากการขายที่ดิน ฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 876/2530 ของศาลจังหวัดลพบุรี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและมีคำพิพากษาใหม่ในประเด็นแห่งคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน31,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่31 พฤษภาคม 2530 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดเป็นเงินจำนวน 31,500 บาท ตามคำฟ้องโจทก์ ทั้งที่ไม่มีข้อตกลงว่าหากพันเอกประเสริฐผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการไม่ชอบแล้ว เห็นว่า จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่า การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเป็นการอ่านที่ไม่ชอบ ครั้นเมื่อจำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยเพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองให้จำเลยอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้แล้ว เช่นนี้ จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้ได้แม้จะเป็นข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพื่อมิต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่27 ธันวาคม 2534 ว่า ศาลชั้นต้นนับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้จำเลยทราบนัดแล้วแต่จำเลยไม่มา ดังนี้ จึงถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นจึงได้นัดฟังคำพิพากษาใหม่โดยบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวว่า นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535เวลา 9 นาฬิกา หมายแจ้งวันนัดให้คู่ความทราบ ดังนั้นที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535ไม่ชัดแจ้ง ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริต ว่าวันนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าวเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้เลื่อนไปนั้น จึงฟังไม่ขึ้น ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชอบแล้วฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้โดยกล่าวอ้างว่า พันเอกประเสริฐเงินโจทก์แล้วทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ จำเลยให้การปฏิเสธว่า พันเอกประเสริฐไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมฟ้องว่าพันเอกประเสริฐกู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงดังที่โจทก์อ้าง แต่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าพันเอกประเสริฐได้กู้ยืมเงินโจทก์ ดังนี้จึงเป็นการนำสืบไม่ได้สมฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้ ทั้งที่หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มิได้เป็นมูลหนี้มาจากการกู้ยืมเงินตามฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่พันเอกประเสริฐทำไว้กับโจทก์แม้มูลหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จะมิได้เกิดจากการกู้ยืมดังที่โจทก์กล่าวอ้างแต่เกิดจากการขายที่ดินดังที่จำเลยให้การก็ตาม หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ก็เป็นมูลหนี้ที่ชอบ มีผลบังคับกันได้ตามกฎหมายส่วนมูลหนี้จะเกิดจากการกู้ยืมหรือเกิดจากการขายที่ดินหาใช่ข้อสำคัญไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรบสภาพหนี้จึงเป็นการวินิจฉัยชอบแล้ว หาใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องดังที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาจำเลยที่ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อต่อสู้ของจำเลยในประเด็นข้อตกลงที่พันเอกประเสริฐจะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ แต่มิได้มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่ได้ขอเพิ่มประเด็นข้อนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้ว จึงมีประเด็นข้อนี้ในคดี แต่ในการแล้ว จึงมีประเด็นข้อนี้ในคดี แต่ในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ ซึ่งจำเลยก็ได้แถลงโต้แย้งขอเพิ่มประเด็นข้อนี้ไว้แล้วดังมีรายละเอียดตามคำแถลงฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2531 ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ โดยฟังว่าจำเลยไม่ได้ขอเพิ่มประเด็นข้อนี้ไว้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพื่อมิต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยศาลฎีกาเป็นสมควรวินิจฉัยปัญหาประเด็นข้อนี้ไปเสียเลย เห็นว่า ข้อตกลงที่พันเอกประเสริฐจะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาหย่าข้อ 3 ในเอกสารหมาย ล.1นั้น ไม่ใช่เป็นการจะให้ที่ดินแก่โจทก์โดยตรง แต่เป็นการจะให้ที่เกิดจากข้อตกลงตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินในการหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันระหว่างพันเอกประเสริฐกับโจทก์ ดังนี้ข้อตกลงจะให้ที่ดินกันดังกล่าวย่อมสมบูรณ์มีผลผูกพันกันได้ โดยไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 876/2530 ของศาลจังหวัดลพบุรี เพราะเรื่องที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้กับเรื่องในคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดจากข้อตกลงตามหนังสือสัญญาหย่าที่พันเอกประเสริฐทำไว้กับโจทก์ หาใช่เป็นคนละเรื่องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีดังกล่าว เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของพันเอกประเสริฐรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่พันเอกประเสริฐทำไว้กับโจทก์ส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 876/2530 ของศาลจังหวัดลพบุรี เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องพันเอกประเสริฐเป็นจำเลยให้ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาหย่าที่พันเอกประเสริฐทำไว้กับโจทก์แล้วพันเอกประเสริฐประพฤติผิดสัญญา ดังนี้ จำเลยในคดีนี้กับจำเลยในคดีดังกล่าวจึงเป็นคนละคนกัน ข้อพิพาทก็เป็นเรื่องคนละประเด็นกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 876/2530ของศาลจังหวัดลพบุรีดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้แก้อุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะได้รับอนุญาตให้ต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็สั่งให้จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ได้ ประกอบกับโจทก์ได้แก้อุทธรณ์ไม่ใช่ไม่ได้แก้อุทธรณ์ดังที่จำเลยฎีกา ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share