คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4284/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยในเวลากลางคืนโดยผู้ตายกอดรัดคอพาพี่สาวจำเลยขึ้นไปเป็นตัวประกัน แล้วผู้ตายเตะทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ บนบ้าน จำเลยกับพวกจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในห้องนอนและปิดประตูไว้ ผู้ตายใช้เท้าถีบประตูห้องและร้องบอกให้ทุกคนออกมามิฉะนั้นจะฆ่าให้หมด ผู้ตายถีบประตูหลายครั้งจนประตูเปิดออกและจะเข้าไปทำร้ายจำเลย จำเลยจึงยิงผู้ตายล้มหงายลงกลางบ้านพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ตายไม่มีอาวุธและได้ความว่าผู้ตายมีอาการมึนเมาสุรามาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึง 2 นัด จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72และริบของกลาง จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 และที่ 3ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 72 ฐานฆ่าผู้อื่นด้วยเหตุบันดาลโทสะ จำคุก 5 ปีฐานมีอาวุธปืน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ให้จำคุกตลอดชีวิต คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม โดยเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นจำคุก 50 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ก่อน คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ให้จำคุก 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก ริบของกลางโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 วางโทษจำคุก 20 ปี คำรับของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกไว้ 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าคนตายด้วยเหตุบันดาลโทสะจำคุก 5 ปี คดีสำหรับจำเลยที่ 1 นี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 แต่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีเหตุบันดาลโทสะและจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าการกระทำของตนเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีความผิด อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งคู่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วกล่าวคือ ผู้ตายบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยที่ 1 ในเวลากลางคืนโดยผู้ตายกอดรัดคอพานางมาลัยซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยที่ 1ขึ้นไปเป็นตัวประกันแล้วผู้ตายเตะทำลายทรัพย์สินต่าง ๆบนบ้านจำเลยทั้งสามจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในห้องนอนและปิดประตูไว้ผู้ตายใช้เท้าถีบประตูห้องและร้องบอกให้ทุกคนออกมามิฉะนั้นจะฆ่าให้หมด ผู้ตายถีบประตูหลายครั้งจนประตูเปิดออกและจะเข้าไปทำร้ายจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงยิงผู้ตายล้มหงายลงกลางบ้าน พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยที่ 1 จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ตายไม่มีอาวุธและได้ความว่าผู้ตายมีอาการมึนเมาสุรามาก การที่จำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึง 2 นัด จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยบันดาลโทสะนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 นั้นศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 68, 69 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก 5 ปี ฐานมีอาวุธปืน จำคุก1 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพแม้จะนำสืบอ้างเหตุป้องกัน มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกไว้ 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share