คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4280/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานหลักฐานใดที่เกี่ยวพันกับประเด็นในคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามลำดับประเด็นแห่งคดี แต่เมื่อผลคำวินิจฉัยฟังเป็นยุติโดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับพยานหลักฐานนั้น หรือการวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานเหล่านั้นต่อไปได้ การที่ศาลได้วินิจฉัยผลแห่งคดีว่า การซื้อนาฬิกาของจำเลยเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันเช่นนี้ จึงหาจำต้องพิจารณาว่ามีข้อตกลงว่าหากเป็นของปลอมจะต้องคืนของหรือไม่อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 43,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องเพื่อชำระหนี้ในการซื้อนาฬิกา และสร้อยข้อมือทองคำเค หน้าเงินฝังเพชรจากโจทก์ แต่การซื้อขายนั้นโจทก์หลอกลวงว่านาฬิกาเป็นของแท้ ซึ่งเมื่อจำเลยตรวจสอบดูแล้วปรากฏว่าเป็นของปลอม การซื้อขายเป็นโมฆียะจำเลยบอกล้างนิติกรรมแก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 43,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานใดที่เกี่ยวพันกับประเด็นในคดีศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามลำดับประเด็นแห่งคดีแต่เมื่อผลคำวินิจฉัยฟังเป็นยุติ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับพยานหลักฐานนั้น หรือการวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานนั้นไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงแล้ว ศาลก็ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานเหล่านั้นต่อไปได้ สำหรับคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยผลแห่งคดีว่าเมื่อการแสดงเจตนาซื้อนาฬิกาของจำเลยเป็นโมฆียะ และจำเลยบอกล้างแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันหาจำต้องพิจารณาว่า มีข้อตกลงว่าหากเป็นของปลอมจะต้องคืนของหรือไม่ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยถึงพยานหลักฐานตามที่โจทก์ฎีกาก็เป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share