แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
หนี้ของจำเลยเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งถึงกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้นับแต่วันที่ลงในตั๋ว เป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตามวันแห่งปฏิทินคือในวันที่ครบกำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงิน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ตามตั๋วเงินดังกล่าว จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204วรรคสอง และต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686
สัญญาค้ำประกันมีใจความว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับค้ำประกันในวงเงิน 500,000 บาท และหากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใดผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน 500,000 บาท แทนลูกหนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย เมื่อลูกหนี้ต้องรับผิดในดอกเบี้ยตั้งแต่วันครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีตั้งแต่วันเดียวกันด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินมาขายลดให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้การขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้โจทก์ไว้ เมื่อครบกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ และเช็คชำระหนี้ที่จำเลยที่ 4 ที่ 5 สั่งจ่ายไว้ล่วงหน้าเรียกเก็บเงินไม่ได้ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้รวมต้นเงินที่ค้างชำระ 998,150 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระจำนวน 27,183.79 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 1,125,712.90 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 19ต่อปี ในต้นเงิน 998,060 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 500,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 324,611.43 บาท 310,821.44 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 290,000บาท และ 296,150 บาท ตามลำดับนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ของจำเลยแต่ละคน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขต้นเงินจำนวน 998,060 บาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน 998,150 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘หนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งมีระบุจำนวนวันขึ้นต้นแล้วมีข้อความตามว่า จากวันที่ในตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาว่าจะใช้เงินแล้วระบุจำนวนเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกมีข้อความว่า’ห้าสิบหกวันจากวันที่ในตั๋วสัญญาฉบับนี้ สัญญาว่าจะใช้เงินจำนวน 180,000 บาท…’ จึงเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาแน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน คือในวันที่ครบกำหนดในตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อครบกำหนดเมื่อใดและจำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินตามตั๋วเงินดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวอย่างใด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสองซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดแล้วตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงินของแต่ละฉบับและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 บัญญัติว่า ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด เจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น ฉะนั้น โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ได้ทันที โดยมิต้องบอกกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งความรับผิดของจำเลยที่ 3 นั้น ตามสัญญามีใจความว่าจำเลยที่ 3 ยอมรับค้ำประกันในวงเงิน 500,000 บาท ทั้งว่า หากมีความเสียหายแก่โจทก์อย่างใด จำเลยที่ 3 ยอมรับผิดชอบชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 จึงมีความหมายว่า จำเลยที่ 3 ยอมรับผิดในเงินต้นในวงเงิน 500,000 บาท แทนจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งดอกเบี้ยด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ครบกำหนดตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำเลยที่ 3 ก็จะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันเดียวกันด้วย หากแต่ว่าสำหรับดอกเบี้ยนั้นจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดเพียงในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีเท่านั้น มิใช่รับผิดในดอกเบี้ยนับจากวันถัดจากวันฟ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งปรากฏว่าตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกเป็นเงิน 180,000 บาท ครบกำหนดชำระในวันที่ 15 ตุลาคม 2527ส่วนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับที่สองเป็นเงิน 349,650 บาท ครบกำหนดชำระในวันที่ 22 ตุลาคม 2527 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในเงินต้นของตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับแรกทั้งหมด กับเงินต้นในตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับที่สองอีก 320,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระฎีกาโจทก์ฟังขึ้น’
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในต้นเงิน 180,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2527 กับในต้นเงิน 320,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.