แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมและก่อนเกิดเหตุจำเลยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ การที่ผู้ตายเข้าไปในบ้านจำเลยในยามวิกาลโดยปราศจากเหตุสมควร ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายและจำเลยไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ตายจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จะให้จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยอาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันที และจำเลยยิงผู้ตายไปเพียง 1 นัด เมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยก็มิได้ยิงซ้ำ การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายชำนาญ ชนะศักดิ์ผู้ตาย 1 นัด โดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้ตายบริเวณใต้สะบักซ้ายและต้นคอ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 ริบปลอกกระสุนปืนและหมอนรองกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณานายอำนวย ชนะศักดิ์ บิดานายชำนาญ ชนะศักดิ์ ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 2 ปี ริบปลอกกระสุนปืน เม็ดกระสุนปืนและหมอนรองกระสุนปืนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงนายชำนาญ ชนะศักดิ์ผู้ตาย 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.4 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายที่จะมาทำร้ายจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายที่จำเลยเข้าใจว่ามีอยู่จริงนั้นได้ความจากคำเบิกความของนางสาวพัชราวรรณ จันทร์เสถียร เด็กหญิงรัตนาพร จันทร์เสถียร และนางบุญเรือน จันทร์เสถียร พยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากและจำเลยปิดประตูบ้านเข้านอนตั้งแต่เวลา 21 นาฬิกา ของวันที่ 30 ธันวาคม 2540 โดยปิดไฟฟ้าในบ้านหมดทุกดวง ต่อมาเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้นนางสาวพัชราวรรณได้ยินเสียงคนปีนเข้าห้องนอนทางช่องลมและเสียงคนพูดว่า “อย่าดัง ถ้าดังจะแทงให้ตาย” นางสาวพัชราวรรณมองดูที่ช่องลม เห็นคนกำลังปีนลงมาในห้องนอนจึงฉุดเด็กหญิงรัตนาพรหนีออกจากห้องไปหานางบุญเรือนผู้เป็นมารดาด้วยความตกใจและตะโกนบอกจำเลยซึ่งเป็นบิดา จำเลยถืออาวุธปืนลูกซองของกลางวิ่งไปที่ห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณหลังจากนั้นประมาณ1 นาที ก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และจำเลยซึ่งเปิดไฟฟ้าในห้องแล้วบอกว่ายิงถูกผู้ตายซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นว่า แม้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดโดยเป็นภริยาและบุตรของจำเลย แต่คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากก็ตรงไปตรงมาและสอดคล้องกัน ทั้งมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยงกันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์ ไกรนรา ไปตรวจที่เกิดเหตุและสอบถามเรื่องราว นางบุญเรือนก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์ทราบในทันที เมื่อตรวจสอบฝาผนังบ้านด้านนอก ร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์ก็พบรอยดินติดอยู่ที่ผนังบ้าน และเมื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทดลองปีนเข้าทางช่องลมก็ปรากฏว่าสามารถปีนเข้าห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณได้สมดังที่นางบุญเรือนให้ถ้อยคำและที่ปรากฏตามคำเบิกความของนางสาวพัชราวรรณ จากลักษณะศพผู้ตายที่ส่วนบนของลำตัวตั้งแต่เอวขึ้นไปพาดอยู่บนเตียงและส่วนล่างตั้งแต่ช่วงเอวลงมาพาดอยู่นอกเตียงตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์นั้น ก็ส่อแสดงว่าผู้ตายมิได้ถูกยิงในขณะที่นอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณ จึงไม่ทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากมีพิรุธน่าสงสัยและเนื่องจากผู้ตายถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง สภาพบาดแผลของผู้ตายย่อมเป็นไปตามที่ปรากฏในรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.4 นั้นได้ และแม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะมีนายจรวย ไชยพลบาล เบิกความเป็นพยานว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ขณะนายจรวยกำลังจะออกจากบ้านไปกรีดยางในสวนยางพารามีนายเข็บ จันทร์เสถียร บิดาจำเลยและจำเลยไปพบและให้นายจรวยช่วยไปนำผู้ตายซึ่งนอนอยู่ในบ้านจำเลยกลับไป แต่นายจรวยไม่ไป และต่อมาเวลา 5 นาฬิกา จึงทราบว่าผู้ตายถูกยิงตายในบ้านจำเลย ซึ่งส่อแสดงว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยรู้อยู่ว่าผู้ที่ถูกตนยิงเป็นใครนั้น ก็คงเป็นเพียงคำเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ของนายจรวยเท่านั้น ไม่มีพยานอื่นใดสนับสนุน ทั้งยังแตกต่างขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ร่วมบิดาผู้ตายที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.1ว่านายจรวยเล่าให้ฟังว่าบุคคลที่ไปขอให้นายจรวยไปนำผู้ตายกลับออกจากบ้านจำเลยในคืนเกิดเหตุมีถึง 3 คน คือ นายเข็บ จำเลย และนางบุญเรือนภริยาจำเลย มิใช่เพียง2 คน คือนายเข็บและจำเลยดังที่นายจรวยเบิกความ คำเบิกความของนายจรวยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อฟัง และไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของนางสาวพัชราวรรณเด็กหญิงรัตนาพรและนางบุญเรือนพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเสียไป คดีจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า คืนเกิดเหตุผู้ตายได้ปีนเข้าบ้านจำเลยทางช่องลมในห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณ ทำให้นางสาวพัชราวรรณตกใจจึงฉุดเด็กหญิงรัตนาพรที่นอนอยู่ด้วยออกไปหานางบุญเรือนมารดาที่นอนอยู่นอกห้องและร้องบอกจำเลย จำเลยจึงถืออาวุธปืนไปที่ห้องนางสาวพัชราวรรณและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดเพราะมืดเนื่องจากภายในบ้านจำเลยขณะนั้นปิดไฟฟ้าหมดสมดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้ การที่ผู้ตายเข้าไปในบ้านจำเลยในยามวิกาลโดยปราศจากเหตุสมควร และได้ความตามคำเบิกความของพันตำรวจโทวรชาติ เหมะ พนักงานสอบสวนว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมและก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายดังที่จำเลยนำสืบ และในขณะนั้นจำเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าคนผู้นั้นจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยก็อาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันท่วงที และจำเลยก็ยิงผู้ตายไปเพียง 1 นัด เมื่อผู้ตายล้มลงก็มิได้ยิงซ้ำแต่อย่างใด หลังเกิดเหตุจำเลยก็ไปแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมยามสายตรวจประจำหมู่บ้านและมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนในคืนนั้นทันที ไม่ได้หลบหนี การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง