แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา คดีนี้ที่ดินพิพาทจำเลยที่ 3ได้จดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4ผู้รับจำนองมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญจึงเป็นสิทธิที่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 4ได้ดีกว่าการที่โจทก์ทั้งสิบห้าขอวางเงินต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แทนที่ดิน การใช้วิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสิบห้าไว้ในระหว่างการพิจารณาตามที่โจทก์ทั้งสิบห้ามีคำขอจึงเป็นการทำให้จำเลยที่ 4 เสียหาย จะกระทำโดยจำเลยที่ 4มิได้ยินยอมด้วยหาได้ไม่ จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะคุ้มครองประโยชน์ไว้ชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาตามวิธีการที่เสนอ
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสิบห้าฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5477 ซึ่งได้จดทะเบียนโอนจากชื่อของโจทก์ทั้งสิบห้าไปเป็นชื่อจำเลยที่ 2 และการโอนจากชื่อจำเลยที่ 2ไปเป็นชื่อจำเลยที่ 3 กับการจำนองระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 ให้ถอนชื่อและการจดทะเบียนดังกล่าวออกจากโฉนดที่ดินแล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสิบห้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิมและให้ส่งมอบโฉนดที่ดินคืนจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การต่อสู้คดี
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งสิบห้ายื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาว่าบริษัทแฟคตอรี่เอสเตท จำกัด ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินการของโจทก์มีความผูกพันตามสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ลูกค้า17 ราย การที่ยังโอนที่ดินพิพาทคืนเป็นของโจทก์ไม่ได้ทำให้ธุรกิจของโจทก์เสียหายขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์นำเงินตามสัญญาจำนองจำนวน 40,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งมาวางเป็นประกันแทนที่ดินพิพาท โดยให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไถ่ถอนจำนองและโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์
จำเลยที่ 3 ยื่นคำแถลงไม่คัดค้าน
จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินพิพาทไว้โดยสุจริต หากอนุญาตตามคำขอย่อมมีผลทำให้จำเลยที่ 4 เสียสิทธิจำนองอันเป็นหลักประกันหนี้ การวางเงินของโจทก์ก็มีเงื่อนไข มิได้เป็นการไถ่ถอนจำนองขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 5477 ระหว่างจำเลยที่ 3 และที่ 4ให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสิบห้าเป็นการชั่วคราว หากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำสั่งนี้แทนการแสดงเจตนา โดยก่อนทำการจดทะเบียนให้โจทก์ทั้งสิบห้านำเงิน 40,000,000 บาท ไปวางไว้แก่จำเลยที่ 4 เพื่อเป็นหลักประกันแทนที่ดินจำนอง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2538 เป็นต้นไปจนถึงวันที่โจทก์นำเงินไปวางแก่จำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสิบห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะสั่งคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสิบห้าไว้ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาตามคำร้องของโจทก์ทั้งสิบห้าหรือไม่เห็นว่า การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการบังคับคดีตามคำพิพากษา คดีนี้ที่ดินพิพาทจำเลยที่ 3ได้จดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4ครอบครองทั้งเงินต้น 40,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2538ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ การเพิกถอนการจำนองย่อมมีผลให้หลักประกันชำระหนี้ดังกล่าวหมดไป จำเลยที่ 4 ย่อมเสียประโยชน์ขาดทรัพย์จำนองเป็นประกันการชำระหนี้ แม้โจทก์ทั้งสิบป้าจะเสนอวางเงิน 40,000,000 บาท แก่จำเลยที่ 4 เพื่อเป็นหลักประกันแทนที่ดินที่จำนองพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีถึงวันที่โจทก์ทั้งสิบห้านำไปวางแก่จำเลยที่ 4 ก็ตาม แต่สิทธิของจำเลยที่ 4 ผู้รับจำนองนั้นมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญจึงเป็นสิทธิที่ให้ความคุ้มครองตามกฎหมายแก่จำเลยที่ 4 ได้ดีกว่าการที่โจทก์ทั้งสิบห้าขอวางเงินต่อศาลเป็นประกันการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4 การใช้วิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสิบห้าไว้ในระหว่างการพิจารณาตามที่โจทก์ทั้งสิบห้ามีคำขอจึงเป็นการทำให้จำเลยที่ 4 เสียหายจะกระทำโดยจำเลยที่ 4มิได้ยินยอมด้วยหาได้ไม่ และสัญญาระหว่างบริษัทแฟคติรี่เอสเตทจำกัด ซึ่งโจทก์ทั้งสิบห้าเป็นผู้ดำเนินกิจการกับลูกค้าจะมีต่อกันอย่างไรเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของจำเลยที่ 4คำร้องของโจทก์ทั้งสิบห้าจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งสิบห้าไว้ชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาตามวิธีการที่เสนอ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสิบห้ามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสิบห้าฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน