แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ในคืนวันเกิดเหตุจำเลยว่าจ้างป. ให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คลองเตยตกลงราคากันอยู่นานประมาณ 2 นาทีไม่ได้ความว่า ป.ได้สังเกตตำหนิรูปพรรณของจำเลยว่ามีลักษณะพิเศษอย่างไร ทั้งสถานที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ป.จอดรถอยู่ข้างวัดอยู่ห่างจากประตูซุ้มถึง 200 เมตรแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ประตูซุ้มน่าจะส่องมาไม่ถึง นอกจากนี้ระหว่างทางที่ ป.ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งคนร้ายก็ไม่ปรากฏว่าได้พูดคุยหรือหันมามองหน้าคนร้ายแต่อย่างใดน่าเชื่อว่าตอนที่คนร้ายไปว่าจ้างให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งป.คงเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจนปรากฏว่า ป.รูปร่างสูงใหญ่มีร่างกายแข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งมีรูปร่างผอมสูงและเป็นคนติดยาเสพติด ตามสภาพไม่น่ามีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อย ป.จนล้มลงจากรถจักรยานยนต์และจำเลยคงไม่กล้าเสี่ยงกระทำการดังกล่าวเป็นแน่ ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจให้ ป. ไปขอหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถมาร้องทุกข์ แต่ ป. กลับนำหนังสือมอบอำนาจมาให้เป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 วัน ทำให้ ป.มีเวลาปรุงแต่งลักษณะตำหนิรูปพรรณของคนร้ายก็เป็นได้เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่มาตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธและมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ได้พามีดปลายแหลม จำนวน 1 เล่ม ไปตามถนน โดยไม่มีเหตุอันสมควรและได้ลักรถจักรยานยนต์ คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร5ย-5160 ราคา 40,000 บาท ของบริษัทฐิติกร จำกัด ผู้เสียหายขณะอยู่ในความครอบครองของนายปัญญา เกรียงไกร ไปโดยทุจริต โดยจำเลยใช้กำลังประทุษร้าย ชกต่อย และใช้มีดปลายแหลมที่จำเลยพาติดตัวมาจี้บังคับขู่เข็ญนายปัญญาว่าในทันในนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม เหตุเกิดที่แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดฐานลักทรัพย์ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9859/2535 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ให้ลงโทษจำคุก 7 เดือน จำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันภายในเวลา 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ และจำเลยเป็นบุคลลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5858/2538 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 371, 91, 93 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 40,000 บาท แก่ผู้เสียหาย เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีหมายเลขแดงที่ 5858/2538 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำเลย 14 ปีฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาท รวมจำคุก 14 ปี และปรับ 100 บาทนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 5858/2538 ของศาลชั้นต้นไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 40,000 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์ฟ้อง คนร้ายได้ใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยและใช้มีดเป็นอาวุธขู่เข็ญชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 5ย-5160 ที่นายปัญญา เกรียงไกร เช่าซื้อจากบริษัทฐิติกร จำกัด ผู้เสียหายราคา 40,000 บาท ไป ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2538 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ มีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนายปัญญาเบิกความว่า พยานมีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างจอดอยู่บริเวณสถานที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้างชื่อบางค้อบริการ ในคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21.30 นาฬิกา จำเลยมาว่าจ้างพยานให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คลองเคยราคา 60 บาท พยานขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยไปตามถนนพระราม 3 แล้วไปถนนสาธุประดิษฐ์ จนมาถึงถนนเชื้อเพลิง และมีซอยแยก จำเลยบอกให้ขับรถจักรยานยนต์เข้าไปในซอย เมื่อเข้าไปได้ประมาณ 300 เมตร บอกให้จอดรถ จำเลยลงจากรถแล้วส่งธนบัตรฉบับละ 100 บาท ให้แก่พยาน ขณะที่พยานล้วงเงินทอนให้แก่จำเลย จำเลยต่อยที่หน้าและผลักพยานล้มลงจากรถแต่รถจักรยานยนต์ไม่ล้มเพราะจำเลยจับไว้ เมื่อลุกขึ้นมาจะเข้าต่อสู้แต่เห็นจำเลยชักมีดปอกผลไม้ยาวประมาณ 1 คืน ออกมา จึงไม่เข้าต่อสู้ด้วยแล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป พยานวิ่งออกมาจากซอยเกิดเหตุถึงป้อมยามห่างจุดเกิดเหตุประมาณ 1 ป้ายรถยนต์โดยสารประจำทางพบเจ้าพนักงานตำรวจจึงเล่าเรื่องให้ทราบ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งทางวิทยุให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นติดตามจับกุมแล้วให้พยานไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆรับแจ้งแล้ว ให้พยานนำไปชี้สถานที่เกิดเหตุแล้วกลับมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจ เห็นว่า แม้จะได้ความจากคำเบิกความของนายปัญญาว่าในคืนวันเกิดเหตุจำเลยได้มาว่าจ้างนายปัญญาให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คลองเตยโดยนายปัญญากับจำเลยตกลงราคากันอยู่นานประมาณ 2 นาที ก็ไม่ได้ความจากคำเบิกความของนายปัญญาแต่อย่างใดว่า นายปัญญาได้สังเกตตำหนิรูปพรรณของจำเลยว่า จำเลยมีลักษณะตำหนิรูปพรรณพิเศษอย่างไร กลับได้ความจากคำเบิกความของนายปัญญาตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นายปัญญาไม่เคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน สถานที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้างที่นายปัญญาจอดรถอยู่ข้างวัด ซึ่งมีวัดมีซุ้มประตูและมีไฟฟ้านีออนติดอยู่เหนือประตูซุ้ม ก็ปรากฏว่าสถานที่จอดรถจักรยานยนต์ดังกล่าวอยู่ห่างจากประตูซุ้มถึง 200 เมตร แสงสว่างจากไฟฟ้าที่ประตูซุ้มน่าจะส่องมาไม่ถึง สำหรับบริเวณในซอยที่เกิดเหตุที่นายปัญญาเบิกความว่าภายในซอยมีแสงไฟจากรั้วกำแพงบ้านที่ปลูกอยู่ 2 ข้างทางนั้น ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 2ปรากฏว่ากำแพงรั้วด้านหนึ่งสูงประมาณ 3 เมตร อีกด้านหนึ่งสูงประมาณ6 เมตร ไม่ปรากฏว่ามีหลอดไฟฟ้าติดไว้ที่หน้าบ้านเลขที่ 393-5ซึ่งขัดกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาเอกสารหมาย จ.5แผ่นที่ 1 ว่ามีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่หน้าบ้านเลขที่ 393 ส่องสว่างมองเห็นได้ชัดเจนในระยะประมาณ 3 ถึง 5 เมตรจึงทำให้มีเหตุสงสัยว่าในที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่ติดอยู่หน้าบ้านเลขที่ 393-5 หรือไม่ และระหว่างทางที่นายปัญญาขับจักรยานยนต์ไปส่งคนร้าย ก็ไม่ปรากฏว่าได้พูดคุยหรือหันมามอบหน้าคนร้ายแต่อย่างใด น่าเชื่อว่าตอนที่คนร้ายไปว่าจ้างให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่ง นายปัญญาคงเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจน ตามภายถ่ายหมาย จ.2 ปรากฏว่านายปัญญารูปร่างสูงใหญ่ มีร่างกายแข็งแรงกว่าจำเลย ซึ่งมีรูปร่างผอมสูงและเป็นคนติดยาเสพติดให้โทษ ตามสภาพไม่น่ามีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อยนายปัญญาจนล้มลงจากรถจักรยานยนต์และจำเลยคงไม่กล้าเสี่ยงกระทำการดังกล่าวเป็นแน่นอกจากนี้นายปัญญาเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุภายหลังเกิดเหตุแล้วพยานไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนให้นำไปชี้สถานที่เกิดเหตุเสร็จแล้วนำพยานมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งตามบันทึกคำให้การดังกล่าวนายปัญญาให้การยืนยันว่าคนร้ายเป็นใครไม่รู้จัก แต่เป็นชายไทยอายุประมาณ 30 ปีลักษณะตำหนิรูปพรรณ รูปร่างผอมสูง ประมาณ 170 เซนติเมตร ใบหน้ายาว ผิวดำแดง ไว้ผมแสกกลาง หน้าผากแคบ คิ้วบาง ตาดำกลมโตสองชั้นจมูกโด่ง ไม่มีหนวดเครา ปากบาง คางมน สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสก๊อตสีแดงดำ ปล่อยชายเสื้อคลุมทับกางเกงยืนขายาวสีน้ำเงินสวมรองเท้าหนังหุ้มข้อสีน้ำตาลเข้ม ก็ได้ความจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีพิศณุ วิทยาภรณ์ พนักงานสอบสวนว่า ในคืนวันเกิดเหตุเวลาหลัง 21 นาฬิกาไปแล้ว นายปัญญามาแจ้งต่อพยานว่าถูกค้นร้ายชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ โดยรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวอยู่ในระหว่างเช่าซื้อจากบริษัทฐิติกร จำกัด พยานให้นายปัญญาไปขอหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทมาร้องทุกข์ ต่อมาอีกประมาณ 5 วันนายปัญญานำหนังสือมอบอำนาจมาร้องทุกข์ต่อพยาน พยานจึงสอบปากคำนายปัญญาไว้ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 และตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 ก็ปรากฏว่าลงวันที่ 25 มกราคม 2538 ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันที่พนักงานสอบสวนทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญาเอกสารหมาย จ.5 ตามบันทึกดังกล่าวปรากฏว่ารับแจ้งเหตุวันที่ 25มกราคม 2538 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 วัน ทำให้นายปัญญามีเวลาปรุงแต่งลักษณะตำหนิรูปพรรณของคนร้ายก็เป็นได้นายดาบตำรวจประพันธ์ บุญรอด ผู้จับกุมจำเลยก็เบิกความว่า พยานสืบสวนคดีนี้ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2538 โดยนายปัญญาบอกตำหนิรูปพรรณของคนร้ายว่ามีลักษณะผอมสูงคล้ายคนติดยาเสพติดให้โทษ ต่อมาวันที่ 14 กันยายน 2538 พยานสืบทราบว่าคนร้ายที่กระทำความผิดคดีนี้ถูกจับอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลบางโพงพาง ข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอบโดยไม่ได้รับอนุญาต พยานตามตัวนายปัญญามาดูตัวคนร้ายแต่ไม่พบเพราะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป รุ่งขึ้นทราบว่าคนร้ายถูกจับที่สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกร ได้นำนายปัญญาไปดูนายปัญญาดูแล้วยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ชิงทรัพย์ไป ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายปัญญาตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อพยานไปที่สถานีตำรวจนครบาลวัดพระยาไกรนั้นเจ้าพนักงานตำรวจให้พยานดูหน้าจำเลยแล้วถามว่าคนนี้ใช่หรือไม่ พยานบอกว่าใช่ เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้บอกว่าจำเลยคือคนร้ายที่ชิงทรัพย์ จากพยานหลักฐานโจทก์เห็นได้ว่า โจทก์มีแต่นายปัญญาเบิกความเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว ทั้งเหตุเกิดในเวลากลางคืนประกอบกับจำเลยนำสืบว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยร่วมกับพวกได้เดินทางไปที่สำนักสงฆ์ไร่เนินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา รุ่งขึ้นทำบุญถวายสังฆทานเสร็จเวลา 10 นาฬิกา จึงเดินทางกลับ ต่อมาวันที่ 13กันยายน 2538 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยถูกจับข้อหามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต วันที่ 19เดือนเดียวกัน เจ้าพนักงานตำรวจจัดให้นายปัญญามาชี้ตัวจำเลยพยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธและมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายร้ายนี้จริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์