คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขายฝากที่พิพาทไว้กับโจทก์ แต่ไม่ไถ่คืนภายในกำหนด จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยย่อมได้ชื่อว่ายึดถือครอบครองที่พิพาทในนามของโจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์
โจทก์ให้คนไปเก็บค่าเช่าที่พิพาทจากจำเลยในเดือนมกราคม2505 จำเลยไม่ให้ อ้างว่าไถ่นาคืนจากโจทก์แล้วเห็นได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว การยึดถือครอบครองที่พิพาทได้เปลี่ยนลักษณะจากการยึดถือครอบครองแทนเป็นยึดถือครอบครองเพื่อตนเองเป็นปรปักษ์ต่อโจทก์เข้าลักษณะแย่งการครอบครอง
โจทก์ทราบว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทเมื่อเดือนมกราคม 2505 โจทก์มาฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2506 เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองได้ ที่พิพาทตกเป็นสิทธิของจำเลยแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาคืนได้
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองเกิน 1 ปีแล้ว ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความเช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้อ้างสิทธิครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้วแม้จะถือว่าข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ชัดแจ้งในเรื่องแย่งการครอบครองแต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิอันใดที่จะอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขึ้นฟ้องร้องเรียกเอาที่พิพาทคืนจากจำเลยได้โดยสิทธิครอบครองของโจทก์ได้หลุดมือไปอยู่กับจำเลยแล้วสิทธิจะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองจากจำเลยก็สูญเสียไปหมดแล้วศาลก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ แม้จำเลยจะมิได้กล่าวอ้างขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมาย (อ้างฎีกาที่ 1646/2505)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาขายฝากที่นา 1 แปลง ไว้แก่โจทก์มีกำหนดเวลาไถ่ภายใน 5 ปี ครบกำหนด จำเลยไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ ที่นาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่านาโจทก์ทำกินต่อมา ครั้นเดือนมกราคม 2506 จำเลยไม่ยอมชำระค่าเช่านา โจทก์จึงบอกเลิกการเช่า ครั้นวันที่ 23 พฤษภาคม 2506 จำเลยได้สมคบกับพวกบุกรุกนาโจทก์ ขอให้ห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในนาแปลงนี้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า ได้ไถ่ที่ดินคืนจากโจทก์แล้ว จำเลยได้แจ้งการครอบครอง ได้ครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของไม่ได้เช่านาโจทก์ ไม่ได้บุกรุก นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองเกิน 1 ปี ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่า นาพิพาทจำเลยไม่ได้ไถ่คืน หลุดเป็นสิทธิของโจทก์ตามสัญญาขายฝาก แต่จำเลยไม่ได้กล่าวอ้างต่อสู้เป็นกรณีแย่งการครอบครอง ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องในนาพิพาทของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้ไถ่ที่นาพิพาทคืนจากโจทก์ที่พิพาทหลุดเป็นสิทธิของโจทก์และจำเลยเช่าทำ ตามกฎหมายได้ชื่อว่าจำเลยยึดถือครอบครองที่พิพาทในนามของโจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์แต่คดีได้ความต่อไปว่า ระหว่างที่โจทก์ให้นายโฉมเป็นผู้เก็บค่าเช่าในเดือนยี่ (มกราคม) พ.ศ. 2505 นายโฉมไปเก็บค่าเช่าจากจำเลย จำเลยไม่ให้ อ้างว่าได้ไถ่นาคืนจากโจทก์ นายโฉมได้บอกแจ้งให้โจทก์ทราบในเดือนมกราคม 2505 นั้นเอง เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ขึ้นแล้ว การยึดถือครอบครองที่พิพาทได้เปลี่ยนลักษณะจากการยึดถือครอบครองแทน เป็นยึดถือครอบครองเพื่อตนเอง เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์เข้าลักษณะแย่งการครอบครองโจทก์ทราบว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทเมื่อเดือนมกราคม 2505 โจทก์มาฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2506 เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะเอาคืนซึ่งการครอบครองได้ ที่พิพาทตกเป็นสิทธิของจำเลยแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาคืนได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ให้การกล่าวอ้างต่อสู้เรื่องแย่งการครอบครอง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ตรงประเด็นข้อต่อสู้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยครอบครองเกิน 1 ปีแล้วฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้อ้างสิทธิครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้ว อย่างไรก็ดี แม้จะถือว่าข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ชัดแจ้งในเรื่องแย่งการครอบครอง แต่โจทก์ก็ไม่มีสิทธิอันใดที่จะอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาขึ้นฟ้องร้องเรียกเอาที่พิพาทคืนจากจำเลยได้ โดยสิทธิครอบครองของโจทก์ได้หลุดมือไปอยู่กับจำเลยแล้ว สิทธิจะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองจากจำเลยก็สูญเสียไปหมดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ แม้จำเลยจะมิได้กล่าวอ้างขึ้น เพราะเป็นเรื่องโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่จะฟ้องได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1646/2505

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ที่พิพาทตกเป็นสิทธิของจำเลยให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share