แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมมิได้เป็นผู้เสียหายในส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้ตายย่อมหมายความว่าให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้ตายเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย พนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายรวม 4 นัดก่อน แล้วจึงยิงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณหน้าท้องของผู้เสียหาย แสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายในการยิงของจำเลยแยกออกจากกันได้ว่า กระสุนนัดใดจำเลยจะยิงผู้ตายกระสุนนัดใดจะยิงผู้เสียหาย เมื่อจำเลยมีเจตนาเฉพาะเจาะจงลงมือกระทำผิดต่อผู้ตายกับผู้เสียหายโดยแยกออกจากกันและกระสุนปืนที่จำเลยยิงนั้นถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายและถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นการกระทำผิดหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อจำเลยต้องรับผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนากับพยายามฆ่า ผู้เสียหาย แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลย มีความผิดเพียงกรรมเดียวและโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้ เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทให้ถูกต้องแต่ศาลฎีกาไม่แก้โทษที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 4 คน กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียนประจำอาวุธปืน จำนวน 1 กระบอกและกระสุนปืน 5 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในหมู่บ้านศรีทองซึ่งเป็นเมืองหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสามกับพวกรุมชกต่อย เตะ นายชลอ สิงห์อุไร ผู้ตาย และนายมานะ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้เสียหาย และใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายจำนวน 5 นัด โดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนกระสุนปืนที่จำเลยทั้งสามกับพวกยิงถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายและถูกผู้เสียหายที่หน้าท้องทำให้ไตขวากับลำไส้ใหญ่ฉีกขาดต้องตัดไตขวาออก อันเป็นอวัยวะสำคัญ ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จำเลยทั้งสามกับพวกลงมือกระทำความผิดฐานฆ่าผู้เสียหายไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะแพทย์ทำการรักษาพยาบาลไว้ทัน ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งสามกับพวก ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 371,83, 80, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบหัวกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางวิมล สิงห์อุไร ภรรยาของนายชลอ สิงห์อุไร ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานฆ่านายชลอ สิงห์อุไร ผู้ตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297, 83, 90การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก 20 ปี และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษฐานมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 21 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก, 297, 83, 90การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายจำคุกคนละ 12 ปี ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 2และที่ 3 คนละ 8 ปี ริบหัวกระสุนปืนของกลาง
โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, ประกอบ 80, 83,90 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 288ซึ่งเป็นบทกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกคนละ 10 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 15 ปี6 เดือนจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำคุกคนละ 10 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามขับรถจักรยานยนต์มาที่ร้านค้านางคิ้มในหมู่บ้านศรีทอง และได้สอบถามผู้ตายกับผู้เสียหายถึงเรื่องที่ผู้ตายขว้างแก้วใส่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขณะที่จำเลยที่ 2และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านค้าดังกล่าว ผู้ตายกับจำเลยที่ 1 เกิดโต้เถียงแล้วเกิดชุลมุนชกต่อยกันและมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ปรากฏว่าผู้ตายถูกกระสุนปืนที่บริเวณศีรษะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ณ ที่เกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายถูกกระสุนปืนบริเวณหน้าท้องได้รับอันตรายสาหัส ในวันเกิดเหตุนั้นเองเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้กับยึดกางเกงยีนส์ของจำเลยที่ 1 มีรอบคราบเลือดติดอยู่บริเวณด้านกระเป๋าหลังไว้เป็นของกลาง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า แม้โจทก์ร่วมจะได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้เข้าเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานฆ่านายชลอผู้ตายเท่านั้นก็ตามแต่คดีนี้เป็นคดีอาญาแผ่นดินได้มีการสอบสวนตามกฎหมายและพนักงานอัยการโจทก์ได้ฟ้องศาลขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามคำขอท้ายฟ้องแล้วศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการพิจารณาของศาลและลงโทษจำเลยทั้งสามตามความเป็นจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 นั้นเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้ตายนั้น ย่อมหมายความให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้ตายเท่านั้นมิได้หมายรวมถึงให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย เพราะโจทก์ร่วมมิได้เป็นผู้เสียหายในส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 297, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก, 297, 83 การกระทำของจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 อีก โจทก์ร่วมมิได้เป็นผู้เสียหายในส่วนข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายย่อมไม่มีอำนาจอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมไม่มีอำนาจอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายนั้นชอบแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย กับผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมแล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายรวม 4 นัด ก่อน แล้วจึงยิงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกบริเวณหน้าท้องของผู้เสียหาย แสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายในการยิงของจำเลยที่ 1 แยกออกจากกันได้ว่ากระสุนนัดใดจำเลยที่ 1 จะยิงผู้ตายกับกระสุนนัดใดจะยิงผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาเฉพาะเจาะจงลงมือกระทำผิดต่อผู้ตายกับผู้เสียหายโดยแยกออกจากกัน เมื่อได้ความว่ากระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงนั้นถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายและถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันเป็นความผิดหลายกระทง จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา กับพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวนั้นจึงไม่ถูกต้อง แต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดเพียงกรรมเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดสองกรรมต่างกันเป็นสองกระทงความผิด ไม่ใช่ความผิดกรรมเดียวดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้เรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทให้ถูกต้องโดยไม่แก้โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามา
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดหลายกรรมต่างวาระกันให้เรียงกระทงความผิดลงโทษฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนากระทงหนึ่ง และฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายอีกกระทงหนึ่ง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแล้วโจทก์ไม่ได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาจะพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามาแล้วไม่ได้ กำหนดโทษของจำเลยที่ 1จึงคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 2และที่ 3 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295จำคุกคนละ 2 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2