แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะเป็นผิดฐานแจ้งความเท็จนั้น จำเลยต้องแจ้งโดยรู้อยู่ว่า ถ้อยคำของจำเลยที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ มิฉะนั้นไม่ผิดฐานนี้ เพราะถือว่าจำเลยที่แจ้งความเท็จโดยไม่รู้ว่าถ้อยคำของตนเป็นเท็จนั้นมิได้มีเจตนากระทำผิดทางอาญา
ย่อยาว
ความว่า จำเลยกับพลตำรวจอีก ๒ คนนำผู้ต้องหา ๓ คนเพื่อไปส่งอัยการจังหวัด ระหว่างทางพลตำรวจอีก ๒ คนคุมผู้ต้องหาอีก ๒ คนแยกทางไปแวะบ้านพวกพ้องผู้ต้องหา จำเลยคงคุมผู้ต้องหาคนหนึ่งมาก่อน นัดกันให้ไปคอยข้างหน้า บังเอิญผู้ต้องหาที่พากันแยกไปบางคนป่วยจำเลยคอยอยู่ ๑ คืนกับครึ่งวันเห็นผิดนัดก็คุมผู้ต้องหาคนเดียวนั้นไปส่งอัยการ ๆ ถามถึงผู้ต้องหาอีก ๒ คนนั้น ตอนนี้คำพยานโจทก์และคำจำเลยโต้เถียงกัน โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งความเท็จต่อพนักงานอัยการว่า ร.กับจ.ผู้ต้องหา ๒ คนนั้นหลบหนีเสียระหว่างทาง คงเหลือคนเดียว จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า ได้ตอบอัยการว่า น่ากลัวจะหนีระหว่างทางเพราะไม่เห็นมาตามนัด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๑๘ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๔๗๗(ฉบับที่ ๓) มาตรา ๓ จำคุก ๑๕ วันปรับ ๔๐ บาท ยกโทษจำ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พนักงานอัยการจังหวัดให้การว่า ทางอัยการไม่เสียหายให้หน้าที่ราชการอย่างไร นอกนั้นไม่ได้ความว่า สาธารณะชนหรือบุคคลใดอาจเสียหายอีก จำเลยยังไม่มีผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังดังกล่าว เห็นว่าคำแจ้งของจำเลยจะเป็นเท็จหรือไม่ยังไม่โต้เถียงกันอยู่ แต่ถึงแม้จะว่าเป็นเท็จ คดีก็ยังไม่ได้ความว่าจำเลยอรู้อยู่ว่ ถ้อยคำของจำเลยที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ ตามรูปคดีแสดงว่าจำเลยกล่าวโดยเชื่อเชื่อว่าเป็นความจริงด้วยซ้ำ และเห็นว่าคำพยานโจทก์แสดงอยู่ว่า จำเลยมิได้เจตนากระทำผิดทางอาญา
พิพากษายืน