คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8140/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจในการให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ประกอบธุรกิจดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้และศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความมิได้นำสืบและมิใช่ประเด็นแห่งคดีขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นข้อพิพาท ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และมาตรา 225 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินค่าเช่าที่ค้างชำระและค่าปรับจำนวน 212,190 บาท ค่าเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินที่เช่าและค่าปรับจำนวน 16,848 บาท ค่าใช้จ่ายในการติดตามทรัพย์สินคืน 8,000 บาท และค่าเสียหายจำนวน 807,820 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 186,420 บาท จำนวน 14,169 บาท จำนวน 8,000 บาท และจำนวน 807,820 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าฉบับแรกเดือนละ 23,430 บาท และค่าขาดประโยชน์ตามสัญญาเช่าฉบับที่สองเดือนละ 7,640 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 70,169 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่นำสืบให้ศาลเห็นว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจให้เช่าแบบลิสซิ่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจเงินทุนธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 ถือว่าโจทก์ประกอบธุรกิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองในคดีนี้จึงเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ประกอบธุรกิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและนิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะหรือไม่นั้น จะต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจในการให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง จำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ประกอบธุรกิจดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจให้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ปัญหาข้อนี้และศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งคู่ความมิได้นำสืบและมิใช่ประเด็นแห่งคดี โดยฟังว่าโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์เป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ประกอบกิจการเช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่ง ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการเช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วนำมาวินิจฉัยปรับเป็นข้อกฎหมายว่า โจทก์จะอาศัยสัญญาเช่าตามฟ้องมาบังคับให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้เช่าทรัพย์สินแบบลิสซิ่งไม่ได้นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือประเด็นข้อพิพาท ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และมาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลยทั้งสอง ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share