แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า บริษัท บ. เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีรายพิพาททั้งสามฉบับหรือไม่ และออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ประเด็นดังกล่าวโจทก์กล่าวอ้างโจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ แต่โจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน จึงฟังไม่ได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 17 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84
ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายรับกันในวันชี้สองสถานฟังได้แต่เพียงว่าบริษัท บ. ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือนธันวาคม2539 เท่านั้น แต่จำเลยทั้งสี่ปฏิเสธว่าใบกำกับภาษีรายพิพาททั้งสามฉบับซึ่งออกโดยบริษัทดังกล่าวนั้น บริษัทดังกล่าวไม่มีตัวตนไม่มีสถานประกอบการและไม่มีการให้บริการจริง โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนโจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ตามแบบ ภ.พ.73.1 เลขที่ ตป.1.3/2007/170/5/100796ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2541 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 เลขที่ สภ.2/7170/ฝ.2/7/42/121 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์2542
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า เป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยชอบมาใช้เครดิตภาษีขาย เป็นผลให้โจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้องการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นชี้สองสถาน ศาลกำหนดประเด็นพิพาทว่า บริษัทเบสท์อินเทลลิเจนซ์ จำกัด เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีรายพิพาททั้งสามฉบับหรือไม่และออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน โจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ และจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2540 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือนธันวาคม 2539 แสดงยอดขาย4,869,681.25 บาท ภาษีขาย 340,877.69 บาท ยอดซื้อ12,258,319.23 บาท ภาษีซื้อ 858,082.35 บาท มียอดภาษีชำระเกินในเดือนดังกล่าว 517,204.66 บาท โจทก์ใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไป โจทก์ได้นำใบกำกับภาษีรวมสามฉบับมูลค่า9,500,157.94 บาท ภาษีซื้อ 665,011.06 บาท มาถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าใบกำกับภาษีซื้อทั้งสามฉบับเป็นใบกำกับภาษีปลอม ออกโดยผู้ประกอบการที่ไม่มีตัวตน ไม่มีการประกอบการจริง แจ้งให้โจทก์เสียภาษีเพิ่มเติมเป็นเงินภาษี 665,011.06 บาท เงินเพิ่ม129,677.16 บาท เบี้ยปรับ 1,995,011.06 บาท รวมภาษีที่ต้องชำระเพิ่ม 2,789,699.28 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติให้ลดภาษีที่เรียกเก็บลงคงเรียกเก็บเป็นเงินภาษี 147,806.40 บาท เบี้ยปรับ 1,403,903.20 บาทเงินเพิ่ม 28,822.30 บาท รวมเรียกเก็บภาษีเพิ่ม 1,580,531.90 บาท
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า บริษัทเบสท์ อินเทลลิเจนซ์จำกัด เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีรายพิพาททั้งสามฉบับหรือไม่ และออกโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งในประเด็นดังกล่าว โจทก์กล่าวอ้างโจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ แต่โจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน จึงฟังไม่ได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528มาตรา 17 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84และที่โจทก์อ้างว่าในวันชี้สองสถานคู่ความทั้งสองฝ่ายรับกันว่า บริษัทเบสท์ อินเทลลิเจนซ์ จำกัด ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์ได้นำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย มีเช็คเงินสดจำนวนสามฉบับ บริษัทเบสท์อินเทลลิเจนซ์ จำกัด ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือนธันวาคม 2539 และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 1,939,000 บาทและอ้างว่าเอกสารท้ายฟ้องและท้ายคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์ของโจทก์รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายรับกันฟังได้แต่เพียงว่าบริษัทเบสท์ อินเทลลิเจนซ์ จำกัดได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มประจำเดือนธันวาคม 2539 เท่านั้น แต่จำเลยทั้งสี่ปฏิเสธว่าใบกำกับภาษีรายพิพาททั้งสามฉบับซึ่งออกโดยบริษัทดังกล่าวนั้น บริษัทดังกล่าวไม่มีตัวตน ไม่มีสถานประกอบการและไม่มีการให้บริการกันจริง โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ เมื่อโจทก์ไม่นำพยานหลักฐานมาสืบสนับสนุน โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี
พิพากษายืน