แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาแบ่งทรัพย์สินและรับสภาพหนี้ มีการกำหนดหน้าที่ให้คู่สัญญาปฏิบัติพร้อมกันไป ไม่ได้มีการระบุเงื่อนไขว่าโจทก์จะโอนทรัพย์สินให้จำเลยหรือช่วยจำเลยชำระหนี้ต่อเมื่อจำเลยโอนทรัพย์สินที่ไม่ติดจำนองให้แก่โจทก์ 1 ใน 2 ส่วน ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2528 แต่อย่างใด โจทก์จึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ของตนหรืออยู่ในฐานะพร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนเสียก่อนจึงจะบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 เมื่อโจทก์ไม่อยู่ในฐานะพร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาหรือพร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้จำเลย 1 ใน 2 ส่วนโดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าโจทก์จะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อจำเลยเสียก่อนได้ โจทก์จะยกข้อตกลงเฉพาะข้อหนึ่งข้อใดมาบังคับเอาแก่จำเลยเพื่อเป็นประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเคยจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากันมาตั้งแต่ปี 2505 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2527 ได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกการแบ่งทรัพย์สินกัน ต่อมาวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2528 มีการทำสัญญาแบ่งทรัพย์สินกันใหม่ โดยจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวม 6 รายการให้แก่โจทก์1 ใน 2 ส่วน ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2528 หากรายการใดติดจำนอง ให้โอนเมื่อปลดภาระจำนองแล้ว โดยจำเลยจะไม่โอน ให้เช่าหรือสร้างภาระติดพันใด ๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือก่อน แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์เคยแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่โจทก์ครึ่งหนึ่งโดยปลอดภาระติดพันและเสียค่าธรรมเนียม ค่าอากรแสตมป์ ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ครึ่งหนึ่ง หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยหากจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 40,695,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยเสนอจะชำระหนี้ตอบแทนแก่จำเลยตามสัญญาและจำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความมิได้โต้แย้งอีกต่อไปว่า สัญญาแบ่งทรัพย์สินและรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.4เป็นสัญญาต่างตอบแทน มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยจำเลยไม่ทำการโอนทรัพย์สินที่ไม่ติดจำนองให้แก่โจทก์ 1 ใน 2 ส่วนภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2528ตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 1 ส่วนโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาต่างตอบแทนและได้มอบให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาตามหนังสือของทนายความโจทก์เอกสารหมาย จ.5 ซึ่งมีความหมายว่าโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาแล้วนั้นเห็นว่าตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.4 นั้น มีการกำหนดหน้าที่ให้คู่สัญญาปฏิบัติพร้อมกันไป มิได้มีการระบุเงื่อนไขว่า โจทก์จะโอนทรัพย์สินให้จำเลยหรือช่วยจำเลยชำระหนี้ต่อเมื่อจำเลยโอนทรัพย์สินที่ไม่ติดจำนองให้แก่โจทก์ 1 ใน 2 ส่วน ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2528 แต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ โจทก์จะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ของตนหรืออยู่ในฐานะพร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนเสียก่อนจึงจะบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนนั้นได้ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แต่ปรากฏจากคำเบิกความของโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าโจทก์และจำเลยยังมิได้มีการปฏิบัติตามสัญญาเอกสารหมาย ล.4 เหตุที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเนื่องจากจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามสัญญาก่อน หนังสือของทนายความโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.5ที่แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญานั้นก็มิได้มีข้อความใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้เสนอหรือพร้อมที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ของตนตามสัญญาแต่อย่างใด ที่โจทก์อ้างในฎีกาว่าโจทก์พร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้น ก็ปรากฏจากสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 11436 และ 11443 ซึ่งโจทก์ต้องไถ่ถอนจำนองแล้วโอนให้จำเลยครึ่งหนึ่งตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ท้ายฎีกาว่า โจทก์ยังมิได้ไถ่ถอนจำนองจากธนาคารแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในฐานะพร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาหรือพร้อมที่จะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้จำเลย 1 ใน 2 ส่วน โดยปลอดจำนองตามสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าโจทก์จะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อจำเลยเสียก่อนได้ โจทก์จะหยิบยกข้อตกลงเฉพาะข้อหนึ่งข้อใดมาบังคับเอาแก่จำเลยเพื่อเป็นประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวหาได้ไม่ โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะฟ้องบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญา ส่วนการที่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 11443 และ 11436 หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วนั้น ก็ไม่มีผลให้โจทก์กลับมีอำนาจฟ้องจำเลยตามคดีนี้แต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน