คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยทั้งสองประกอบกิจการขายรถยนต์ โดยจำเลยที่ 2มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าของโจทก์ไป แม้ตามสัญญาซื้อขายและส่งมอบรถยนต์คันพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองมีเงื่อนไขว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของจำเลยที่ 2 จะโอนเป็นของจำเลยที่ 1ผู้ซื้อต่อเมื่อชำระราคาครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่จำเลยที่ 1ยังไม่ได้ชำระราคาให้จำเลยที่ 2 แม้แต่เพียงบางส่วนและจำเลยที่ 2 ผู้ขายก็มิได้กำหนดราคารถยนต์ที่ขายหรือตกลงกันในสัญญาว่า ให้กำหนดกันด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 487 และมิได้กำหนดระยะเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคารถยนต์ดังกล่าวไว้ด้วยย่อมเห็นได้ว่าสัญญาซื้อขายและส่งมอบรถยนต์ระหว่างจำเลยทั้งสองไม่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายกันตามปกติ การที่จำเลยที่ 2ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1ซึ่งประกอบกิจการขายรถยนต์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ในประการที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 จะนำรถยนต์ดังกล่าวไปขายแก่บุคคลทั่ว ๆ ไปพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อและยอมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการว่าเป็นเจ้าของหรือผุ้มีสิทธิขายรถยนต์พิพาทแล้ว เมื่อโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทมาโดยสุจริต จำเลยที่ 2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาซื้อขายและต้องจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทพร้อมมอบสมุดจดทะเบียนให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2ไม่ดำเนินการศาลย่อมพิพากษาให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2536 โจทก์ซื้อรถยนต์ยี่ห้อมิตซุบิชิจากจำเลยที่ 1 จำนวน 2 คัน คันละ 258,000 บาทโจทก์ชำระราคารถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว แต่จำเลยที่ 1ไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และมอบสมุดจดทะเบียนให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นตัวการของจำเลยที่ 1 โดยยอมให้จำเลยที่ 1 ทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รถยนต์ทั้งสองคัน พร้อมมอบสมุดจดทะเบียนให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์สองคันคืนจำเลยที่ 2 หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาคันละ 285,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาททั้งสองคันพร้อมมอบสมุดจดทะเบียนให้แก่โจทก์ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองประกอบกิจการขายรถยนต์ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทตามฟ้องทั้งสองคัน เมื่อวันที่15 และ 20 ตุลาคม 2536 บริษัทนันทดิษฐ คอร์ปอเรชั่น จำกัดและบริษัทคาร์โปรเฟสชั่นแนล จำกัด ได้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 โจทก์จึงซื้อรถยนต์พิพาททั้งสองคันจากจำเลยที่ 1 ในราคาคันละ 258,000 บาทตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 โจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่ลูกค้าของโจทก์ไปแล้ว ต่อมาโจทก์ติดต่อให้จำเลยที่ 1จัดการโอนทะเบียนให้ จำเลยที่ 1 ไม่ยอมโอน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการยอมให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการในการขายรถยนต์พิพาทอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางสาวสมจิตร มารัตนชัย หัวหน้าแผนกปฏิบัติการสินเชื่อของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาททั้งสองคันจากจำเลยที่ 1 และมอบให้ลูกค้าโจทก์รับไปแล้วแต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมจัดการโอนทะเบียนให้ ต่อมาพยานทราบว่าชุดจดทะเบียนรถอยู่ที่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 2 มีนายประวุฒิ พิพิธสุขสันต์ กรรมการของจำเลยที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยเชิดจำเลยที่ 1 หรือมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์พิพาททั้งสองคันไปจากจำเลยที่ 2 ตามสัญญาซื้อขายและส่งมอบรถยนต์เอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 โดยสัญญามีเงื่อนไขว่ากรรมสิทธิ์จะโอนเป็นของจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อต่อเมื่อชำระราคาครบถ้วนแล้วแต่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระราคาให้จำเลยที่ 2 เห็นว่า ตามสัญญาซื้อขายและส่งมอบรถยนต์เอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 จำเลยที่ 1 ผู้ซื้อยังมิได้ชำระราคารถยนต์ที่ซื้อแม้แต่เพียงบางส่วน แต่จำเลยที่ 2 ผู้ขายก็มิได้กำหนดราคารถยนต์ที่ขายหรือตกลงกันในสัญญาว่า ให้กำหนดกันด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 487และมิได้กำหนดระยะเวลาชำระราคารถยนต์ดังกล่าวไว้ด้วยกรณีนี้เห็นได้ว่า สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายกันตามปกติ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์พิพาททั้งสองคันให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบกิจการขายรถยนต์เช่นเดียวกันในประการที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1จะนำรถยนต์ดังกล่าวไปขายแก่บุคคลทั่ว ๆ ไปโดยจำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระราคารถยนต์ดังกล่าว ทั้งมิได้กำหนดราคาหรือระยะเวลาชำระราคาไว้ และต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อรถยนต์ดังกล่าวไปจากจำเลยที่ 1 พฤติการณ์เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2เป็นตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อและยอมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการว่าเป็นเจ้าของหรือผู้มีสิทธิขายรถยนต์พิพาททั้งสองคันแล้ว เมื่อโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาททั้งสองคันมาโดยสุจริต จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาททั้งสองคันพร้อมมอบสมุดจดทะเบียนให้แก่โจทก์หากจำเลยที่ 2 ไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share