คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า “แซง” หมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียด ตามคำฟ้องกล่าวว่าในขณะที่รถยนต์โจทก์และจำเลยที่ 1 จะสวนกัน จำเลยที่ 1 หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของรถโจทก์ พุ่งเข้าชนรถโจทก์แต่นำสืบว่าโจทก์ขับตามหลังรถคันหนึ่งมาเมื่อรถคันนั้นหลีกทางให้รถจำเลยที่ 1 โดยขับเข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างกองดินลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ผ่านรถคันนั้นไปก็เข้าชนรถโจทก์ ไม่เป็นการแตกต่างกันหรือนอกประเด็นเพียงแต่ใช้ถ้อยคำไม่รัดกุม
การเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้ายทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่พึงใช้ความระมัดระวัง เมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน และเมื่อถนนมีฝุ่นลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งเดินอยู่ในทางของรถโจทก์จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถโจทก์ที่สวนมา พอจำเลยที่ 1 ขับรถผ่อนรถคันหนึ่งซึ่งหลีกทางให้ก็ชนกับรถโจทก์เช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท
มารยาทในการขับรถที่ว่ารถเบาจะหลีกทางให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้นเป็นเพียงการอะลุ้มอะล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้น หาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ. ๐๗๙๑๔ มีนายสหัสลูกจ้างโจทก์เป็นผู้ขับขี่ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ร.บ. ๐๐๗๕๓ มีจำเลยที่ ๑ ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ขับ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๓ นายสหัสขับรถยนต์ของโจทก์มาตามถนนจากหนองแช่เสามาตลาดราชบุรีถึงบริเวณเขาหินแดง อำเภอเมืองราชบุรี จำเลยที่ ๑ กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ มาด้วยความเร็วสูง ในขณะจะสวนทางกันจำเลยที่ ๑ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ได้หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด ซึ่งจำเลยที่ ๑ ควรต้องรอให้รถยนต์ของโจทก์แล่นเลยไปก่อน เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยที่ ๑ พุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ตรงหน้ารถซีกขวาเสียหายรวม ๑๙,๖๘๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า นายสหัสขับรถยนต์ที่จำเลยที่ ๑ ขับด้วยความประมาทของนายสหัสฝ่ายเดียว ตรงที่เกิดเหตุมีกองลูกรังบนถนนด้านซ้ายมือประมาณ ๒๐ กอง จำเลยที่ ๑ ขับรถบรรทุกดินลูกรังมาเกือบสุดกองลูกรังสวนหลีกกับรถบรรทุกคันหนึ่งไปแล้ว รถยนต์โจทก์ขับตามหลังรถบรรทุกคันนั้นมาในระยะกระชั้นชิดด้วยความเร็วสูง นายสหัสมองไม่เห็นรถจำเลยที่ ๑ ที่สวนมาเพราะมีฝุ่นาก จึงเข้าชนรถที่จำเลยที่ ๑ ขับเสียหาย ๒๒,๗๐๐ บาท ค่าซ่อมรถโจทก์ไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท ขอให้ใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ลูกจ้างโจทก์มิได้ประมาท รถจำเลยที่ ๒ เสียหายไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบเหตุประมาทของจำเลยไม่ตรงตามฟ้อง คดีตามฟ้องแย้งก็ฟังไม่ได้ว่าคนขับรถโจทก์ประมาท พิพากษายกฟ้องทั้งสองฝ่าย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ถนนช่วงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้งผิวถนนลูกรัง มีฝุ่นเมื่อรถแล่นผ่าน และมีดินลูกรังกองไว้ตามทางโค้งด้านนอกเป็นกอง ๆ เว้นระยะห่างพอรถจอดได้ เป็นระยะยาวประมาณ ๓๐ วา ดินลูกรังแต่ละกองล้ำเข้ามาในทางเดินรถประมาณเมตรเศษ ทางช่วงนี้รถจะสวนกันตามปกติไดม่ได้ คันหนึ่งจะต้องหลีกเข้าไปจอดระหว่างกองดินลูกรังให้อีกคันหนึ่งแล่นผ่านไปก่อนรถโจทก์ขับตามหลังรถบรรทุกของนายจาด้านในทางโค้งซึ่งไม่มีกองดินลูกรัง ส่วนรถจำเลยที่ ๑ ขับมาด้านนอกทางโค้งซึ่งมีกองดินลูกรังในทางเดินรถ นายจาขับรถหลีกรถจำเลยที่ ๑ ไปทางขวาเข้าไปอยู่ระหว่างกองดินลูกรัง เมื่อรถจำเลยที่ ๑ แล่นผ่านรถนายจาก็ชนกับรถโจทก์ สภาพที่รถชนกัน รถโจทก์หักหลบขึ้นไปชิดขอบทางด้านซ้าย รถจำเลยที่ ๑ อยู่ในทางเดินรถของโจทก์ แล้ววินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องกล่าวว่า ในขณะที่รถยนต์โจทก์และจำเลยที่ ๑ จะสวนกันนั้น จำเลยที่ ๑ หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด พุ่งเข้าชนรถโจทก์ แต่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ขับตามหลังรถนายจารถนายจาหลีกทางให้รถจำเลยที่ ๑ โดยนายจาขับรถหลบเข้าไปในช่องว่างระหว่างกองดินลูกรัง เมื่อรถจำเลยที่ ๑ แล่นผ่นารถนายจาไปแล้วก็เข้าชนรถโจทก์ คำว่า “แซง” หมายถึงกริยาแทรกหรือเสียด การที่ฟ้องโจทก์ใช้คำว่าแซงเป็นเพียงใช้ถ้อยคำไม่รัดกุมเท่านั้น เพราะเมื่ออ่านคำฟ้องรวมกันก็พอเข้าใจว่ารถจำเลยที่ ๑ แล่นผ่านรถอีกคันหนึ่งแล้วชนโจทก์ดังที่โจทก์นำสืบ ทางนำสืบของโจทก์จึงหาแตกต่างหรือนอกประเด็นในคำฟ้องไม่ แล้ววินิจฉัยต่อไปว่า ตามปกติการเดินรถจะต้องเดนิทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อตรถเดินทางสวนกันจะต้องหลีกด้านซ้าย ทางเดินรถของจำเลยที่ ๑ มีกองดินลูกรังขวางอยู่ ตามวิสัยของคนขับรถทั่วไปจะพึงใช้ความระมัดระวัง เมื่อรถจำเลยที่ ๑ เดินในทางของรถโจทก์ จะต้องหลีทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน โดยจำเลยที่ ๑ จักต้องหลบเข้าไปจอดระหว่างกองดินลูกรังด้านซ้ายมือ และโดยที่ถนนมีฝุ่นลุกรังระหว่างที่รถจำเลยที่ ๑ เดินในทางของรถโจทก์ จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถผ่นานายจาซึ่งหลีกทางให้แล้วเกิดชนกับรถโจทก์โดยจำเลยที่ ๑ ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะที่ถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถที่สวนมา ไม่อาจหลบหลีกได้ทัน จำเลยที่ ๑ จึงขับรถโดยประมาท ข้อที่ว่ารถจำเลยที่ ๑ บรรทุกหินลูกรังเต็มคัน ส่วนรถโจทก์เป็นรถเบา ตามมารยาทจะหลีกให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้น เป็นเพียงการอะลุ้มอะล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้น หาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่
พิพากษายืน

Share