คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้ามรดกกับจำเลยได้อยู่กินเป็นสามีภริยากันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จึงต้องแบ่งสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือสามีได้ 2 ส่วน ภริยาได้ 1 ส่วนเจ้ามรดกจึงมีสิทธิในทรัพย์สิน 2 ส่วนใน 3 ส่วน จำเลยซึ่งเป็นภริยาเจ้ามรดกได้เพียง 1 ใน 3 ส่วน แต่เมื่อเจ้ามรดกได้ระบุในพินัยกรรมให้แบ่งสินสมรสออกเป็น 2 ส่วน โดยให้ตกแก่จำเลย1 ส่วน อีก 1 ส่วนเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกให้โจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วน ดังนี้จึงต้องแบ่งทรัพย์สินร่วมกันของเจ้ามรดกกับจำเลยออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งตกแก่จำเลย อีกส่วนหนึ่งให้ตกเป็นของโจทก์ทั้งสองคนละส่วนเท่ากัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินที่บริคณห์กันระหว่างนายกระแสร์เจ้ามรดกกับจำเลย ให้โจทก์กึ่งหนึ่งตามพินัยกรรมของเจ้ามรดก
จำเลยให้การว่า พินัยกรรมที่โจทก์ฟ้องเป็นพินัยกรรมปลอมโจทก์ทั้งสองสละมรดกตามพินัยกรรมแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ของนายกระแสร์เจ้ามรดกกับจำเลยออกเป็นสองส่วน ให้กึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของโจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งส่วนเท่ากันตามพินัยกรรม หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแบ่งกันตามสัดส่วนดังกล่าวให้จ่ายเงินค่าเช่าที่ดินและโรงเรือนที่จำเลยหรือทายาทจำเลยเก็บได้จากผู้เช่าทรัพย์ตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสองจากกองมรดกของจำเลยเป็นเงิน 34,500 บาท และต่อไปอีกนับแต่วันฟ้องเดือนละ 3,450 บาท จนกว่าจะมีการแบ่งทรัพย์ตามพินัยกรรมให้โจทก์ทั้งสอง ให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิการรับมรดกที่จำเลยรับมรดกที่ดินของนายกระแสร์ คงคาลัย เจ้ามรดกสำหรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 742, 753 หรือ 744 ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งทรัพย์สินตามพินัยกรรมออกเป็นหกส่วน ให้จำเลยมีสิทธิได้สี่ส่วน โจทก์ทั้งสองมีส่วนได้คนละหนึ่งส่วน หากไม่สามารถแบ่งได้ให้นำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแบ่งกันตามส่วนสัดดังกล่าว ให้จ่ายเงินค่าเช่าที่ดินและโรงเรือนที่จำเลยหรือทายาทจำเลยเก็บได้จากผู้เช่าทรัพย์ตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสองจากกองมรดกของจำเลยเป็นเงิน 23,000 บาท และต่อไปอีกนับแต่วันฟ้องเดือนละ 2,300 บาท จนกว่าจะมีการแบ่งทรัพย์ตามพินัยกรรมให้โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายกระแสร์เจ้ามรดกมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน3 คน คือ นายไข่ คงคาลัย นายสมพงศ์ คงคาลัย และเจ้ามรดกโจทก์ทั้งสองเป็นหลานของเจ้ามรดกโดยโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรนายไข่โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรนายสมพงศ์ เจ้ามรดก กับจำเลยได้อยู่กินเป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2525 เจ้ามรดกมีทรัพย์สินร่วมกันกับจำเลยเป็นที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างและเงินฝากในธนาคารหลายแห่งรวมเป็นเงิน 3,317,200 บาท เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้ตามเอกสารหมาย จ.22 และ จ.23
พิเคราะห์แล้ว ตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกระบุไว้ชัดว่าทรัพย์สินทั้งหมดโจทก์ทั้งสองมีส่วนได้รับร่วมกันกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งเป็นส่วนของจำเลย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าส่วนที่จะตกได้แก่โจทก์ทั้งสองมีส่วนของจำเลยอยู่ด้วยจึงต้องแบ่งเอาส่วนของจำเลยออกมาก่อน 1 ส่วน คงเหลืออีก 2 ส่วนเป็นส่วนของโจทก์ทั้งสองอีกกึ่งหนึ่ง จึงให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 6 ส่วน ให้โจทก์ทั้งสองได้รวมกันเพียง 2 ส่วนนั้นเป็นการแบ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นไปตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกเกี่ยวกับปัญหานี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.22 ระบุว่า เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมแบ่งทรัพย์สินของเจ้ามรดกซึ่งรวมกับทรัพย์สินของนางเครือหรือสินสมรสจึงต้องสันนิษฐานว่าเป็นสินสมรส เจ้ามรดก กับจำเลยได้อยู่กินเป็นสามีภริยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จึงต้องแบ่งสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือ สามีได้ 2 ส่วนภริยาได้ 1 ส่วน เจ้ามรดกจึงมีสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าว2 ส่วนใน 3 ส่วน จำเลยมีสิทธิเพียง 1 ใน 3 ส่วน แต่เจ้ามรดกระบุในพินัยกรรมให้แบ่งสินสมรสออกเป็น 2 ส่วน ให้ตกได้แก่จำเลย 1 ส่วน อีก 1 ส่วนให้ตกได้แก่เจ้ามรดก จึงเห็นได้ว่าจำเลยจะได้รับส่วนแบ่งสินสมรสมากกว่า 1 ใน 3 ส่วน และทรัพย์สินส่วนที่ตกได้แก่เจ้ามรดกซึ่งมีอยู่กึ่งหนึ่งนี้ เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้อื่น ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจข้อความในพินัยกรรมดังกล่าวแล้วไม่มีข้อความใดระบุยกให้จำเลยอีกกึ่งหนึ่งแต่กลับระบุในพินัยกรรมให้โจทก์ทั้งสองได้รับคนละ 1 ส่วนดังนั้นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้แบ่งทรัพย์สินร่วมกันของเจ้ามรดกกับจำเลยออกเป็น 2 ส่วน กึ่งหนึ่งของทรัพย์สินส่วนที่ตกได้แก่เจ้ามรดกให้ตกเป็นของโจทก์ทั้งสองคนละ 1 ส่วนเท่ากัน ส่วนรายได้จากการให้เช่าบ้านและที่ดินซึ่งรวมเป็นเงินเดือนละ 6,900 บาทให้ตกได้แก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 3,450 บาท จึงเป็นการชอบแล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้แบ่งทรัพย์สินในส่วนนี้นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share