คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นผู้ขับรถบรรทุกซึ่งได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่2ชนกับรถบรรทุกของโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าวโดยจำเลยที่2ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยแม้ตามคำฟ้องจะมิได้กล่าวถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่1กับผู้เอาประกันภัยก็ตามแต่ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายคำฟ้องมีข้อความระบุว่าในเบื้องต้นผู้รับประกันภัยรถของทั้งสองฝ่ายมารับรู้โดยผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกซึ่งมีจำเลยที่1เป็นคนขับยินดีเป็นฝ่ายรับผิดชอบในค่าเสียหายเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถและนัดหมายให้ไปรับเงินกับจำเลยที่2เป็นการเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกคันที่จำเลยที่2ได้รับประกันภัยจึงไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าจำเลยที่2ได้รับประกันภัยจากผู้ใดและผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยหรือจำเลยที่1ผู้ขับรถบรรทุกคันที่ประกันภัยนั้นมีนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้เอาประกันเพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบในชั้นพิจารณาต่อไปฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-5504 ร้อยเอ็ด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกสิบล้อคันดังกล่าว เมื่อวันที่31 สิงหาคม 2535 เวลากลางวันหลังเที่ยง นายหิน กระจ่างโพธิ์ขับรถบรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน 72-1977 กรุงเทพมหานครของโจทก์ไปตามถนนเจริญนคร ครั้นถึงบริเวณปากซอยเจริญนคร 22เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกสิบล้อดังกล่าวสวนทางมาด้วยความประมาทเลี้ยวขวาตัดหน้ารถของโจทก์อย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ชนล้อด้านหน้าขวาของรถโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ต้องจ่ายเงินค่าซ่อมไปจำนวน 76,000 บาทระหว่างซ่อมโจทก์ขาดประโยชน์ไม่อาจนำรถบรรทุกหกล้อดังกล่าวออกใช้ดำเนินธุรกิจทางการค้าเป็นเงินวันละ 1,400 บาท เป็นเวลา8 เดือน แต่โจทก์คิดเพียง 1 เดือน เป็นค่าเสียหาย 42,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 118,000 บาท จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวในฐานะผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2ในฐานะผู้รับประกันภัยต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 118,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถคันเกิดเหตุไว้จากใครและจำเลยที่ 1 ขับรถในฐานะอะไรหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรเก็บผู้เอาประกันภัย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดด้วย ฟ้องของโจทก์ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน78,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2535 ซึ่งเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ตามปัญหาข้อนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า”คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน80-5504 ร้อยเอ็ด ซึ่งได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่31 สิงหาคม 2535 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถบรรทุกคันที่จำเลยที่ 2รับประกันภัยไว้ชนกับรถบรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน72-1977 กรุงเทพมหานคร ของโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 118,000 บาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าวโดยจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยและขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในค่าเสียหายจำนวน 118,000 บาท ตามคำขอท้ายฟ้อง เห็นว่า แม้ตามคำฟ้องที่โจทก์บรรยายมาจะมิได้กล่าวถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1กับผู้เอาประกันภัยก็ตาม แต่ในบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 มีข้อความระบุว่า”ในเบื้องต้นผู้รับประกันภัยรถของทั้งสองฝ่ายมารับรู้ โดยผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน80-5504 ร้อยเอ็ด ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับยินดีเป็นฝ่ายรับผิดชอบในค่าเสียหายเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถและนัดหมายให้ไปรับเงินกับจำเลยที่ 2″ ฉะนั้นเมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ดังกล่าวมาแล้ว ก็นับว่าเป็นการเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกสิบล้อคันที่จำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัยตามที่บันทึกไว้ในเอกสารหมาย จ.4เป็นค่าเสียหาย 118,000 บาท กรณีดังกล่าวจึงไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าจำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัยจากผู้ใด และผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยหรือจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันที่ประกันภัยนั้นมีนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้เอาประกันภัย เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบให้ปรากฏในชั้นพิจารณาต่อไป ดังนั้น จึงถือได้ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share