คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 331/2473

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วิธีพิจารณาแพ่งคำพิพากษาในคดีเรื่องก่อนที่เด็ดขาดแล้ว ซึ่งจำเลยในคดีนี้มิได้เปนคู่ความด้วย ไม่ปิดปากและไม่ตัดสิทธิจำเลยในคดีนี้ที่จะต่อสู้คดีต่อไป หน้าที่นำสืบ โจทก์อ้างว่าจำเลยซื้อเรือนเปนการสมยอม เปนหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบ ประมวลแพ่ง ฯ ม.456 ซื้อขายเรือนราคา 1000 บาท โดยทำกรมธรรม์สัญญาต่ออำเภอ ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ

ย่อยาว

เดิมเรือนรายพิพาทนี้เปนของ ผ. ๆ ขายให้จำเลย ๑๐๐๐ บาท ทำกรมธรรม์สัญญาต่ออำเภอต่อมา ผ.เช่าอยู่ ผ.กลับเอาเรือนนี้ขายให้โจทก์ ๓๐๐ บาท ทำสัญญากันเอง แล้ว ผ.ทำสัญญาเช่าจากโจทก์ จำเลยหาทราบไม่ ต่อมาโจทก์ฟ้องขับไล่ ผ.และบ. ที่สุดศาลตัดสินให้โจทก์ชนะแต่จำเลยมิได้ทราบว่าโจทก์กับ ผ.บ. เปนความกันจำเลยพึ่งทราบเมื่อโจทก์จะแขกยามไปเฝ้าเรือนนี้จึงขัดขวางว่าเปนเรือนของจำเลย โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลย ดังนี้
ศาลล่างทั้ง ๒ ตัดสินว่า ซื้อเรือนนี้ไว้โดยสุจริตก่อนโจทก์ จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ จึงได้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาเปนข้อกฎหมายว่า ที่ศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดเด็ดขาดแล้ว จะเรียกว่าปิดปากและมัดจำเลยไม่ให้เถียงกรรมสิทธิหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาศาลที่ถึงที่สุดเด็ดขาดแล้ว ไม่ปิดปากและไม่ตัดสิทธิของจำเลยที่จะต่อสู้ในคดีนี้ เพราะคำพิพากษาที่โจทก์อ้างจำเลยไม่ได้เปนคู่ความด้วย และข้อที่โจทก์ว่าจำเลยซื้อเรือนนี้เปนการสมยอม โจทก์ก็สืบไม่สม ปรากฏว่าจำเลยซื้อไว้โดยสุจริต และทำสัญญาต่ออำเภอจำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์ จึงตัดสินยื่นตามศาลล่าง

Share