แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์บรรยายแต่เพียงว่าจำเลยที่1เป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน80-5504ร้อยเอ็ดซึ่งได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่2จำเลยที่1ได้ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวชนกับรถบรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน72-1977กรุงเทพมหานครของโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายแม้จะมิได้กล่าวถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่1กับผู้เอาประกันภัยก็ตามแต่เมื่อพิจารณาประกอบกับบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายคำฟ้องแล้วนับว่าเป็นการเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกสิบล้อคันที่จำเลยที่2ได้รับประกันภัยไว้โดยไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยที่2ได้รับประกันภัยไว้จากผู้ใดและผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยหรือจำเลยที่1ผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันที่ประกันภัยนั้นมีนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้เอาประกันภัยเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบให้ปรากฎในชั้นพิจารณาต่อไปดังนั้นจึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน118,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 78,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2535 ซึ่งเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 2ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ตามปัญหาข้อนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า”คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อหมายเลขทะเบียน 80-5504 ร้อยเอ็ด ซึ่งได้ประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2535 จำเลยที่ 1 ได้ขับรถบรรทุกคันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ชนกับรถบรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน72-1977 กรุงเทพมหานคร ของโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้รถบรรทุกของโจทก์ได้รับความเสียหายรวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 118,000 บาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าวในจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยและขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในค่าเสียหายจำนวน 118,000 บาท ตามคำขอท้ายฟ้อง เห็นว่าแม้ตามคำฟ้องที่โจทก์บรรยายมาจะมิได้กล่าวถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้เอาประกันภัยก็ตาม แต่ในบันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 มีข้อความระบุว่า “ในเบื้องต้นผู้รับประกันภัยรถของทั้งสองฝ่ายมารับรู้ โดยผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกสิบล้อยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 80-5504 ร้อยเอ็ด ซึ่งมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับยินดีเป็นฝ่ายรับผิดชอบในค่าเสียหายเนื่องจากความประมาทของผู้ขับรถและนัดหมายให้ไปรับเงินกับจำเลยที่ 2″ ฉะนั้นเมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4ดังกล่าวมาแล้ว ก็นับว่าเป็นการเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะผู้รับประกันภัยรถบรรทุกสิบล้อคันที่จำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัยตามที่บันทึกไว้ในเอกสารหมาย จ.4 เป็นค่าเสียหาย 118,000 บาท กรณีดังกล่าวจึงไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าจำเลยที่ 2 ได้รับประกันภัยจากผู้ใดและผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยหรือจำเลยที่ 1 ผู้ขับรถบรรทุกสิบล้อคันที่ประกันภัยนั้นมีนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้เอาประกันภัยเพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะนำสืบให้ปรากฎในชั้นพิจารณาต่อไปดังนั้น จึงถือได้ว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ดังกล่าวข้างต้นแล้วฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน