คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ซ. มีหน้าที่รวบรวมทรัพย์มรดกแล้วนำมาแบ่งให้แก่ทายาทของ ซ. เมื่อบรรดาทายาทได้ตกลงกันให้จำเลยขายที่ดินทรัพย์มรดก จำเลยขายได้แล้วจึงออกเช็คสั่งจ่ายเงินส่วนแบ่งล่วงหน้าให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกของ ซ. ตามที่ตกลงกันแล้ว แต่จำเลยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทรัพย์มรดกได้ให้แก่ผู้เสียหายและบรรดาทายาทของ ซ.และแม้จะปรากฏว่ายังมีที่ดินมรดกอีกส่วนหนึ่งยังขายไม่ได้แต่ก็ปรากฏว่า เมื่อจำเลยตกลงแบ่งเงินที่ขายได้แล้วให้แก่บรรดาพี่น้องที่เป็นชายเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ผู้เสียหายและพี่น้องจึงไม่ติดใจทรัพย์มรดกส่วนนั้น ซึ่งหมายความว่าพร้อมใจกันยกให้แก่จำเลยนั่นเอง การที่จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกขายทรัพย์มรดกได้แล้วตกลงแบ่งเงินที่ขายได้แล้วให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยจึงมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ผู้เสียหายแล้ว และเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันเงินส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยจะแบ่งให้แก่ผู้เสียหาย ดังนี้เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4ให้จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้เสียหายเป็นพี่ของจำเลยโดยต่างเป็นบุตรของนายซ้อนและนางสมบูรณ์ แซ่จิวนายซ้อนถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2521 ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2531 ศาลจังหวัดสมุทรสาครมีคำสั่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายซ้อนตามคำร้องของจำเลยทรัพย์มรดกของนายซ้อนมีที่ดินหลายแปลงรวมทั้งที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5 จ.6 และ จ.7 ที่มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ และขายให้แก่บริษัทท่าจีนกอล์ฟ จำกัด ไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2536เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.8 จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายมอบให้ผู้เสียหายไว้ เป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)สาขาสมุทรสงคราม ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2538 จำนวนเงิน2,450,000 บาท เมื่อผู้เสียหายเรียกเก็บเงินในวันที่21 เดือนเดียวกัน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธพิพาทถึงข้อกำหนดจ่ายเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยไม่มีเงินพอจ่ายตามเช็คได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกของนายซ้อน จำเลยมีหน้าที่รวบรวมทรัพย์มรดกแล้วนำมาแบ่งให้แก่ทายาทของนายซ้อน เมื่อบรรดาทายาทได้ตกลงกันในระหว่างปี 2537 ถึงปี 2538 ให้จำเลยขายที่ดินทรัพย์มรดก หากจำเลยยังขายไม่ได้ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรถึงขนาดที่จำเลยจะต้องออกเช็คที่สั่งจ่ายเงินส่วนแบ่งล่วงหน้าให้แก่ผู้เสียหาย จากสำเนาโฉนดเอกสารหมาย จ.5 จ.6 และ จ.7จำเลยขายที่ดินทั้งสามโฉนดให้แก่บริษัทท่าจีนกอล์ฟ จำกัดตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2536 ซึ่งจากคำเบิกความของผู้เสียหายได้ความว่า กลางปี 2538 มีคนมาถามผู้เสียหายว่า ทำไมจึงไม่ไปเสียค่าเช่าที่ดินที่ผู้เสียหายทำประโยชน์อยู่ ผู้เสียหายบอกว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้เสียหาย คนที่มาถามจึงบอกผู้เสียหายว่าจำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทท่าจีนกอล์ฟ จำกัดเมื่อเดือนกันยายน 2536 แล้ว ผู้เสียหายสอบถามจำเลย จำเลยก็บอกว่ายังไม่ได้ขาย ผู้เสียหายจึงไปสอบถามที่สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครก็ทราบว่าจำเลยขายที่ดินทั้งสามแปลงแล้วในวันที่ไปสอบถามนี้ผู้เสียหายพบยางปราณีผู้เป็นนายหน้าขายที่ดินดังกล่าว และทราบจากนางปราณีว่าจำเลยขายที่ดินรวมราคาประมาณ 30,000,000 บาท และยังไม่จ่ายค่านายหน้าให้แก่นางปราณี ผู้เสียหายจึงขอถ่ายสำเนาโฉนดจากนางปราณีและจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อตรวจดูปรากฏว่าตรงกันจึงไปบอกแก่พี่น้องแล้วไปสอบถามจำเลย จำเลยบอกว่ายังไม่ได้ขายครั้นผู้เสียหายเอาหลักฐานดังกล่าวให้ดู จำเลยจึงยอมรับว่าได้ขายที่ดินทั้งสามโฉนดไปแล้วจริง และยอมแบ่งเงินที่ขายได้ให้แก่พี่น้องที่เป็นชายคนละ 3,000,000 บาท แล้วจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ผู้เสียหาย คำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวมีเหตุผลเชื่อได้ว่าที่ผู้เสียหายเบิกความมานั้นเป็นความจริง ประกอบกับจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยขายที่ดินสามโฉนดที่กล่าวแล้วให้แก่บริษัทท่าจีนกอล์ฟ จำกัด ได้เงิน 26,000,000 ถึง 27,000,000บาท เงินจำนวนดังกล่าวเพียงพอที่จำเลยจะแบ่งให้แก่พี่น้องตามที่ตกลงกันแล้ว และจะเห็นได้ว่าจำเลยขายที่ดินทรัพย์มรดกทั้งสามโฉนดตั้งแต่ปี 2536 แต่จำเลยไม่เคยบอกให้พี่น้องทราบเมื่อผู้เสียหายทราบในปี 2538 และไปตามจำเลย จำเลยก็บอกว่ายังไม่ได้ขาย ต่อเมื่อผู้เสียหายเอาหลักฐานจากสำเนาโฉนดที่ดินให้ดู จำเลยจึงยอมรับว่าขายที่ดินทรัพย์มรดกไปแล้วจริง การที่จำเลยยอมรับดังกล่าวหลังจากจำเลยขายที่ดินไปแล้วถึง 2 ปี และยอมรับหลังจากผู้เสียหายเอาหลักฐานมายืนยันเช่นนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทรัพย์มรดกได้ให้แก่ผู้เสียหายและบรรดาทายาทของนายซ้อนนั่นเอง และแม้จะปรากฏว่ายังมีที่ดินอีกส่วนหนึ่งยังขายไม่ได้แต่ก็ได้ความจากผู้เสียหายว่า เมื่อจำเลยตกลงแบ่งเงินที่ขายได้แล้วให้แก่บรรดาพี่น้องที่เป็นชายคนละ 3,000,000 บาทผู้เสียหายและพี่น้องจึงไม่ติดใจทรัพย์มรดกส่วนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าพร้อมใจกันยกให้แก่จำเลยนั่นเอง การที่จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดก ขายทรัพย์มรดกได้แล้วตกลงแบ่งเงินที่ขายได้แล้วให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องชำระให้แก่ผู้เสียหายแล้ว เมื่อจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันเงินส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยจะแบ่งให้แก่ผู้เสียหายอย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share