คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4258/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่กำหนดให้จำเลยส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้จำเลยใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 1,250,000 บาท เป็นการกำหนดขั้นตอนการบังคับคดีไว้ ซึ่งโจทก์จะต้องบังคับคดีไปตามลำดับในคำพิพากษา เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อยังมีอยู่และโจทก์ยังสามารถบังคับให้จำเลยคืนได้ ซึ่งหากการคืนรถยนต์ยังอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิบังคับให้ใช้ราคาแทน กรณีจึงไม่แน่ชัดว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ จึงเป็นหนี้ที่ยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 329/2543 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,250,000 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์เสร็จสิ้น แต่ไม่เกิน 6 เดือน ภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ยอดหนี้ตามคำพิพากษาคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,936,750 บาท โจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามแล้วไม่พบว่ามีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้กับโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน และจำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์แล้วทั้งสองครั้งแต่ไม่ชำระหนี้ กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยทั้งสามมิได้เป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เนื่องจากจำเลยทั้งสามประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งและมีรายได้ที่แน่นอน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังมีที่ดินอีก 1 แปลง มีราคาประเมินของทางราชการเป็นเงิน 2,283,450 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 มีทรัพย์สินเป็นบ้านอีก 1 หลัง ทั้งโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ไว้แล้วจำนวน 1 แปลง โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เป็นเงิน 2,093,130 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาด หากไม่พอชำระหนี้จำเลยทั้งสามสามารถคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 329/2543 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 1,250,000 บาท กับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท และให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์เสร็จสิ้น แต่ไม่เกิน 6 เดือน ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.3 ภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 244 ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ของจำเลยที่ 1 ขณะนี้อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาดตามสำเนาประกาศขายทอดตลาดเอกสารหมาย จ.16 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยทั้งสามได้รับหนังสือทวงถามของโจทก์แล้วทั้งสองครั้ง ตามสำเนาหนังสือแจ้งเตือนให้ชำระหนี้และใบตอบรับเอกสารหมาย จ.7 ถึง 7.12 แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ จำนวนหนี้ตามคำพิพากษาคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,936,750 บาท ตามบัญชีลูกหนี้เอกสารหมาย จ.6 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า หนี้ตามคำพิพากษาที่กำหนดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 1,250,000 บาท นั้นเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ เห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.3 กำหนดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้จึงให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคารถยนต์เป็นเงิน 1,250,000 บาท ดังนี้เป็นกรณีคำพิพากษากำหนดขั้นตอนการบังคับคดีไว้ ซึ่งโจทก์จะต้องบังคับคดีไปตามลำดับในคำพิพากษาโดยจะต้องบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนก่อน หากไม่สามารถบังคับเอาตัวรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้จึงจะสามารถบังคับเอาราคาใช้แทนจำนวน 1,250,000 บาท ได้ ตามทางนำสืบของโจทก์ โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามไม่สามารถคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ได้ โจทก์คงมีเพียงนางสาวยุวนันท์ อินถา ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ และนายกนกศักดิ์ แสงอุทัย เจ้าหน้าที่สืบทรัพย์และบังคับคดีของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานเพียงว่า โจทก์ได้ติดตามรถยนต์ที่เช่าซื้อแล้วแต่ไม่พบ ซึ่งในข้อนี้กลับได้ความจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 บุตรจำเลยที่ 1 ซึ่งพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับจำเลยที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองใช้รถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่ที่บ้านจำเลยที่ 1 โจทก์ก็ไม่ได้ซักค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งจำเลยทั้งสามให้การต่อสู้มาโดยตลอดว่าสามารถนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาส่งมอบคืนแก่โจทก์ได้ กรณีน่าเชื่อว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อยังมีอยู่และโจทก์ยังสามารถบังคับให้จำเลยทั้งสามคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อได้ ซึ่งหากการคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิบังคับให้ใช้ราคาแทนจำนวน 1,250,000 บาท เมื่อโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีตามลำดับในคำพิพากษา กรณีจึงไม่แน่ชัดว่าหนี้ที่จะบังคับให้ใช้ราคาแทนการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อจะมีหรือไม่ จึงเป็นหนี้ที่ยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 9 (3) ที่ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share