คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4243/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้ครอบครองที่ดินมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินตาม ป.ที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4
พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีแรกเนื่องจากมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทไม่ครบตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ พนักงานอัยการยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาสาระสำคัญแห่งคดี อีกทั้งการที่จำเลยยังคงยึดถือครอบครองอยู่ในที่ดินพิพาทเป็นความผิดใหม่ที่ต่อเนื่องกันมา ทางอำเภอจึงได้แจ้งความร้องทุกข์และมีการสอบสวนดำเนินคดีใหม่และแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทให้ครบถ้วนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ การฟ้องคดีนี้จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2520 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2535 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์โคกสูงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและเป็นที่ดินของรัฐ เนื้อที่ 79 ไร่ 1 งาน (ที่ถูกน่าจะเป็น 3 งาน) 55 ตารางวา แล้วก่นสร้างปลูกไม้ยืนต้น พืชล้มลุก และล้อมรั้วปลูกกระท่อมในที่ดินโดยจำเลยมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจมีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนดจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง กับเมื่อระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม 2535 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2535 ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน จำเลยทราบคำสั่งเป็นหนังสือที่ให้จำเลยออกจากที่ดินที่ครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุและข้อแก้ตัวอันสมควร เหตุเกิดที่ตำบลบ้านโคก อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108, 108 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ให้จำเลย คนงานผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกไปจากที่ดินที่ยึดถือครอบครองด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 จำคุก 1 ปี และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องทุกข้อหา
โจทก์ฎีกา
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ตรงกรอบเส้นสีเขียว เป็นเนื้อที่ 79 ไร่ 3 งาน 55 ตารางวา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ โจทก์มีนายจวง เหล่าคนค้า นายบัวโฮง เหล่าคนเค้า นายหวด จันทระคู นายปัน เหล่าคนค้า นายอุทัย ใจแน่น นายแพง เหล่าคนค้า นายทองคำ รัตนพะเนาว์ นายประยูร เหล่าคนค้า นายสุข อำทะวงค์ นายแสง กาฬเพ็ญ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า พยานทั้งหมดเป็นคนตำบลบ้านโคก อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น พยานส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันท้องที่เกิดเหตุ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณะโคกสูงมีเนื้อที่ประมาณ 360 ไร่ เดิมเป็นป่าชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยนำโคและกระบือไปเลี้ยงในที่ดินพิพาทเป็นเวลานานแล้ว เมื่อปี 2510 ได้มีชาวบ้านบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยปลูกปอและปลูกมัน จนกระทั่งปี 2513 นายวิเชียร วรารัศมี ผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้นได้แจ้งให้ชาวบ้านที่บุกรุกออกไปจากที่ดินพิพาทมีเพียงจำเลยกับนายตา พงษ์โพธิ์ชัย บิดาของจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาปี 2519 ชาวบ้านได้ยกที่สาธารณะโคกสูงส่วนหนึ่งเนื้อที่ 60 ไร่ เพื่อสร้างโรงเรียนบ้านโคกศึกษา และได้ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาปี 2520 จำเลยได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่ชาวบ้านรวมทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านและพระร่วมกันคัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ ทางราชการจึงไม่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย นอกจากนี้ยังมีนายจรรยา สุคนธ์คันธชาติ ปลัดอำเภอมัญจาคีรี ระหว่างปี 2528 ถึง 2534 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำสั่งนายอำเภอมัญจาคีรีเบิกความยืนยันว่า พยานและคณะกรรมการได้ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุตามแผนที่เอกสารหมาย จ.2 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ นายเจษฏา วรวัฒน์นานนท์ ช่างรังวัดกองสำรวจและที่ดิน เบิกความว่า ปี 2536 พยานออกไปรังวัดที่ดินสาธารณประโยชน์โคกสูงเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยแจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขต พร้อมสอบสวนผู้แทนสภาตำบล ผู้ใหญ่บ้าน ผู้สูงอายุในหมู่บ้าน เมื่อรังวัดเสร็จแล้วพยานขึ้นรูปแผนที่ไว้ตามต้นร่างแผนที่เอกสารหมาย ป.จ.9 (ศาลอาญาใต้) ซึ่งที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณะโคกสูง เห็นว่า พยานโจทก์ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุในท้องที่เกิดเหตุและส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันโดยเฉพาะนายสุด อำทะวงศ์ เป็นอาของจำเลย ส่วนนายจรรยา สุคนธ์คันธชาติ ปลัดอำเภอ และนายเจษฏา ช่างรังวัดกรมที่ดินก็เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ พยานโจกท์ทั้งหมดไม่มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทเบิกความสอดคล้องต้องกันเกี่ยวกับความเป็นมาของที่ดินพิพาทว่า ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์นำโค กระบือ ไปเลี้ยงในป่าสาธารณะ โดยเฉพาะในปี 2510 มีชาวบ้านบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหลายรายรวมทั้งจำเลย ต่อมาปี 2513 นายวิเชียร วรารัศมี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งให้ชาวบ้านที่บุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ออกไปจากที่ดินพิพาท ชาวบ้านทั้งหมดต่างก็ยอมออกไปคงมีแต่จำเลยเท่านั้นที่ไม่ยอมออกไป ซึ่งจำเลยเองก็นำสืบเจือสมพยานโจทก์ว่าในปี 2513 นายวิเชียรได้แจ้งบอกให้ชาวบ้านที่บุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาท ชาวบ้านอื่นยอมออกไปคงมีแต่จำเลยเท่านั้นที่ไม่ยอมออกไป แม้ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตที่สาธารณประโยชน์โคกสูงจะมิได้มีการขึ้นทะเบียนหรือมีประกาศหวงห้ามมาก่อน แต่ที่สาธาณประโยชน์โคกสูงเป็นที่ดินสาธารณะประเภทพลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ย่อมเกิดขึ้นและเป็นอยู่ตามสภาพของที่ดินและการใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชน ประชาชนที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่สาธารณะดังกล่าวจะคอยระวังดูแลและรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมไว้ไม่ให้ใครเข้าไปบุกรุกครอบครองเป็นเนื่อที่มากๆ จะเห็นได้ว่าในปี 2519 ประชาชนหรือชาวบ้านตำบลบ้านโคกยอมยกที่สาธารณประโยชน์โคกสูงเนื้อที่ 60 ไร่ ให้สร้างโรงเรียนบ้านโคกศึกษาซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมชาวบ้านก็จะยินยอมให้ทำได้ และเมื่อได้พิจารณาแผนที่ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 จะเห็นว่าที่ดินโรงเรียนบ้านโคกศึกษาอยู่ติดกับที่ดินพิพาททางด้านทิศตะวันออก เมื่อที่ดินโรงเรียนบ้านโคกศึกษายังเป็นที่สาธารณประโยชน์โคกสูงมาก่อน ดังนั้นที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่มากถึง 79 ไร่เศษ และชาวบ้านตำบลบ้านโคกทั้งหลายต่างก็ยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะโคกสูงมาก่อน และคอยเฝ้าระวังมิให้ใครบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์ในลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม การที่จำเลยยังดื้อรั้นเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเนื้อที่ถึง 79 ไร่เศษ ชาวบ้านที่ร่วมกันใช้ประโยชน์จึงยอมไม่ได้ และพากันร้องเรียนต่อนายอำเภอ เมื่อจำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ชาวบ้านก็พากันไปคัดค้านจนทางราชการไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย ดังนี้ จึงมีเหตุผลรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารถประโยชน์โคกสูง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่เป็นที่สาธารณประโยชน์นั้นไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับหรือไม่ จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่มรดกที่บิดาของจำเลยครอบครองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ต่อมาปี 2510 จำเลยเป็นผู้จัดการแทนบิดาโดยแบ่งให้แก่พี่น้องและแต่ละแปลงมีรั้วล้อมเป็นแนวเขตนั้น เห็นว่า พยานจำเลยส่วนใหญ่จะยืนยันว่านายตาบิดาจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตาม ส.ค.1 เนื่อที่ 10 ไร่ มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับซึ่งอยู่ทางใต้ของที่ดินพิพาท แต่สำหรับที่ดินพิพาทเนื้อที่ 79 ไร่เศษนั้น จำเลยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอให้รับฟังได้ ซึ่งข้อนี้พยานโจทก์หลายปากยืนยันว่าจำเลยเพิ่งบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในปี 2510 พร้อมกับชาวบ้านรายอื่นๆ ต่อมาปี 2513 นายวิเชียรผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งให้ผู้บุกรุกทั้งหมดออกไป ชาวบ้านอื่นต่างก็ยินยอมไปคงมีแต่จำเลยเท่านั้นที่ยังดื้อรั้นบุกรุกทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่านายตาบิดาจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ แต่เหตุใดนายตาจึงแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ไว้เพียงเนื้อที่ 10 ไร่ ทางด้านทิศใต้ของที่ดินพิพาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 79 ไร่ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า และตาม ส.ค.1 ที่นายตาแจ้งการครอบครองไว้เนื้อที่ 10 ไร่ นั้น ทางด้านทิศเหนือได้แจ้งไว้ว่าจดโคกสูงหรือที่สาธารณะโคกสูง มิได้แจ้งว่าจดที่มีการครอบครองของนายตาแต่อย่างใด ส่วนทางด้านทิศตะวันตกซึ่งติดกับที่ดินพิพาทก็แจ้งไว้ว่าจดป่ามิได้แจ้งว่าจดที่มีการครอบครองของนายตาเช่นกัน ข้อนี้แสดงให้เห็นว่าขณะที่นายตาแจ้งการครอบครองที่ดินเมื่อปี 2498 นั้น นายตายังมิได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยเพิ่งมาบุกรุกเข้าไปครอบครองพร้อมกับชาวบ้านในปี 2510 ดังที่พยานโจทก์เบิกความไว้นั่นเอง เมื่อฟังว่าจำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย”
ปัญหาประการสุดท้ายตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยมีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทอันเป็นการกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โดยจำเลยบุกรุกครอบครองที่ดินพิพาทภายหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ โดยเมื่อปี 2510 จำเลยและชาวบ้านได้บุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ต่อมาปี 2513 นายวิเชียร วรารัศมี ผู้ใหญ่บ้านได้แจ้งให้ผู้ที่บุกรุกเข้าไปที่ดินพิพาทออกจากที่ดินพิพาท ชาวบ้านอื่นยอมออกไปจนหมดคงเหลือจำเลยแต่ผู้เดียวที่ยังครอบครองทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาท ต่อมาปี 2520 จำเลยได้ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแต่ถูกชาวบ้านคัดค้านและทางราชการก็ไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยโดยอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณะ ต่อมาปี 2535 นายภานุผล พุทธาศรี นายอำเภอมัญจาคีรีได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์โคกสูง โดยมอบหมายให้นายปัน เหล่าคนค้า กำนันตำบลบ้านโคก นายบัวโฮง เหล่าคนค้า ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 นำไปส่งให้แก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่อ นายปันกับนายบัวโฮงได้แจ้งบันทึกเหตุการณ์และเหตุผลในการไม่ยอมรับเป็นหนังสือโดยมีพยานรับรอง 2 คน แล้วตามเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 จำเลยไม่ปฏิบัติตาม นายภานุผลจึงมีคำสั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทอีกครั้งโดยมอบให้นายปันและนายบัวโฮง นายทองคำ รัตนพะเนา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 และร้อยตำรวจเอกสงวน แถวโงนนิ้ว รองสารวัตรสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านโคกร่วมกันนำหนังสือไปส่งให้แก่จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่ออีก จึงได้ทำบันทึกไว้ตามเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จ.12 และ จ.14 ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2515) ซึ่งข้อนี้โจทก์ก็มีพยานที่นำส่งหนังสือเบิกความยืนยันที่จำเลยนำสืบว่าไม่เคยได้รับหนังสือเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ดังนั้น การที่จำเลยยังคงเข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทตลอดมา จากพยานหลักฐานดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 และมาตรา 108 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้รับมรดกที่ดินพิพาทต่อมาจากนายตาบิดาจำเลยซึ่งครอบครองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับจำเลยจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 นั้น ก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ ว่านายตาบิดาจำเลยครอบครองมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จำเลยไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันให้เป็นที่น่าเชื่อถือ คำพยานจำเลยส่วนใหญ่จะเน้นไปว่านายตาบิดาจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ค.1 เนื้อที่ 10 ไร่ มาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ คงมีบางปากที่สนับสนุนว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนหลายสิบปีซึ่งก็เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และขัดกับพยานหลักฐานของโจทก์ที่ต่างยืนยันว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปครอบครองพร้อมกับชาวบ้านเมื่อปี 2510 นั้นเอง หากนายตาบิดาจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก็น่าจะแจ้งการครอบครองที่ดินในที่ดินพิพาทไว้ และใน ส.ค.1 เนื้อที่ 10 ไร่ ก็มิได้ระบุอาณาเขตติดต่อให้สอดรับกันดังที่ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ข้ออ้างนี้ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาอีกว่าคดีนี้พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องจำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ข้อนี้ได้ความว่าเหตุที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีแรกเนื่องจากมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทไม่ครบตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ในการที่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องจำเลยพราะเหตุมีการแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทไม่ครบถ้วนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ โดยแจ้งเพียงครั้งเดียวนั้น พนักงานอัยการยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาสาระสำคัญแห่งคดี อีกทั้งการที่จำเลยยังคงยึดถือครอบครองอยู่ในที่ดินพิพาทจึงเป็นความผิดใหม่ที่ต่อเนื่องกันมา ทางอำเภอจึงได้แจ้งความร้องทุกข์และมีการสอบสวนดำเนินคดีใหม่และแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทให้ครบถ้วนตามระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ การฟ้องคดีนี้จึงไม่ขัดต่อมาตรา 147 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่อย่างใด ฎีกาข้ออื่นของจำเลยล้วนแต่เป็นข้อปลีกย่อย ซึ่งไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share