คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลล่างทั้งสองได้พิจารณาพยานหลักฐานถ้อยคำเบิกความพยานบุคคลของโจทก์และพยานจำเลยที่นำสืบมาโดยละเอียดชันเจนแล้ว โดยเฉพาะเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ยังได้กล่าวถึงข้อแตกต่างระหว่างคำเบิกความของพยานโจทก์บางปาก และเห็นว่าพยานโจทก์บางปากไม่มีน้ำหนักรับฟัง แล้วศาลล่างทั้งสองฟังเป็นยุติว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ด้วยการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เมื่อฎีกาของโจทก์ที่ยกข้อโต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ยังไม่มีเหตุผลที่จะ เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองได้ ดังนี้ โดยความเห็นของรองประธานศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกา มอบหมาย ศาลฎีกาจึงเห็นว่าฎีกาของโจทก์แม้เป็นสาระแก่คดี ก็ไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง จึงพิพากษายกฎีกาของโจทก์และคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดชั้นฎีกาแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี ๒๕๓๕ โจทก์ทั้งสองยกที่ดินให้แก่จำเลย ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หา หลังจากนั้นจำเลยไม่เคย ดูแลช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๐ จำเลยประพฤติเนรคุณ โจทก์ทั้งสองด้วยการด่าโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองเสื่อมเสียชื่อเสียง โจทก์ทั้งสองไม่อาจทนอยู่ในบ้านหลัง เดียวกันกับจำเลยได้ ต้องออกไปปลูกกระท่อมอยู่กันเพียงลำพัง ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาของศาลเป็น การแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประพฤติเนรคุณหมิ่นประมาท หรือด่าว่าโจทก์ทั้งสอง ไม่เคยไล่โจทก์ทั้งสองออกจากบ้าน จำเลยไม่เคยทอดทิ้งโจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ ๒ ถึงแก่กรรม โจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นทายาทยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อปรากฏว่าชั้นอุทธรณ์โจทก์ที่ ๒ มิได้อุทธรณ์ คดีระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลย เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโจทก์ที่ ๒ จึงไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยด่าโจทก์ทั้งสองในลักษณะขับไล่ไสส่งว่าอยากได้ที่พิพาทให้ไปฟ้องเอา ทำให้โจทก์ทั้งสองอับอายขายหน้าและไปอาศัยอยู่กับบุคคลอื่น การกระทำของจำเลยถือว่าร้ายแรง และเป็นการประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสอง เห็นว่า คดีนี้ตาม คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ได้พิจารณาพยานหลักฐานถ้อยคำเบิกความพยานบุคคลของโจทก์และพยานจำเลยที่ นำสืบมาโดยละเอียดชัดเจนแล้ว ฟังเป็นยุติว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ทั้งสองด้วยการทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรงฎีกาของโจทก์ที่ ๑ ที่ยกข้อโต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ มานั้นไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลล่าง ทั้งสองได้ ที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ ๑ ในประเด็นที่จำเลยไม่รับอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ทั้งสองเพราะเหตุไม่มีประเด็นมาในศาลชั้นต้นเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ได้กล่าวไว้โดยละเอียดเช่นกันว่า เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่บรรยายว่า จำเลยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ทั้งสองในเวลาที่โจทก์ทั้งสองยากไร้และจำเลยยังสามารถให้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๑ (๓) แม้คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองจะได้บรรยายมาว่า โจทก์ทั้งสองทนอยู่บ้านเดียวกับจำเลยไม่ได้ จึงต้องออกไปปลูกกระท่อมอยู่เพียงลำพัง ก็เป็นการกล่าวบรรยายถึงผลจากการที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าจำเลยทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงหรือหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองอย่างร้ายแรงเท่านั้น กรณีจึงไม่มีประเด็นดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและโจทก์ที่ ๑ อุทธรณ์มา ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ก็ไม่รับวินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ที่ ๑ ที่โต้เถียงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ดังกล่าวในข้อนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ได้เช่นกัน โดยความเห็นชอบของรองประธานศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมาย เห็นว่า ฎีกาทุกข้อของโจทก์ที่ ๑ เป็นสาระแก่คดีไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ทั้งสอง คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดชั้นฎีกาแก่โจทก์ทั้งสอง ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share