คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4216/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ตกลงรับหนังสือแบบเรียนและอุปกรณ์การศึกษาของโจทก์ไปขายโดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นส่วนลดร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 35 จากราคาปกหนังสือ หากสินค้าที่ฝากขายเหลือจำเลยที่ 1 ต้องส่งคืนให้แก่โจทก์แล้วหักทอนบัญชีชำระค่าสินค้าที่ฝากขายใน 1 ปี มีงวดบัญชี 2 ครั้ง ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าสินค้าที่ได้ส่งมอบตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง แต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนสินค้า หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาสินค้าพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงินจำนวน 248,171.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 193,694.65 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าโจทก์ฝากขายสินค้าอะไร จำนวนเท่าใด สินค้าที่คืนมีอะไรบ้าง จำนวนเท่าใด นอกจากนี้การหักทอนบัญชีก็ไม่ชัดแจ้งไม่อาจทราบได้ว่ายอดหนี้ที่ค้างชำระเงิน 193,694.65 บาท นั้น มีที่มาอย่างไร ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง จำเลยที่ 1 รับสินค้าฝากขายไปจากโจทก์เป็นเงินเพียง 210,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ได้ชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ส่วนสินค้านอกจากนี้จำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่ง แต่โจทก์ส่งไปให้ มากกว่าจำนวนสินค้าที่สั่ง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระราคาสินค้าดังกล่าวโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเกินกว่า 2 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 193,694.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 54,476.62 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 183,694.65 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2540 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาฝากขายหนังสือแบบเรียนและอุปกรณ์การศึกษากับโจทก์โดยโจทก์จัดส่งไปให้จำเลยที่ 1 ขายให้แก่โรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดลพบุรี หากสินค้าที่โจทก์ฝากขายเหลือจำเลยที่ 1 ต้องส่งคืนให้แก่โจทก์และต้องชำระค่าสินค้าที่ฝากขายให้แก่โจทก์ปีละ 2 ครั้ง คือ ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้นและภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงิน 1,000,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าฝากขายไปจากโจทก์หลายรายการ สินค้าที่โจทก์ฝากขายเหลือจำเลยที่ 1 ได้ส่งคืนและมีการหักทอนบัญชีกับชำระค่าสินค้าที่ฝากขายบางส่วนแล้ว ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาฝากขายหนังสือแบบเรียนและอุปกรณ์การศึกษาหลายรายการในเขตจังหวัดลพบุรีกับโจทก์ โดยทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลาตามสัญญาฝากขาย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าฝากขายไปจากโจทก์หลายรายการ มีการคืนสินค้าที่โจทก์ฝากขายเหลือแล้วหักทอนบัญชีและชำระบัญชีกันหลายครั้ง เมื่อสรุปยอดบัญชีแล้วจำเลยที่ 1 ต้องชำระราคาค่าสินค้า 193,694.65 บาท ให้แก่โจทก์ เห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายถึงข้อเท็จจริงโดยได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นไว้ชัดเจนแล้วว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาฝากขายกันจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าฝากขายไปจากโจทก์แล้ว เมื่อหักทอนบัญชีกัน จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระราคาค่าสินค้าแก่โจทก์พร้อมแนบสำเนาสัญญาฝากขาย รายการแจ้งยอดบัญชีและสรุปรายการแจ้งยอดบัญชีมาท้ายฟ้อง อันเป็นการบรรยายถึงโจทก์และจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โจทก์มีสิทธิตามสัญญาประการใด แล้วจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาไม่คืนสินค้าที่โจทก์ฝากขายเหลือให้ครบถ้วน เมื่อหักทอนบัญชีแล้วจำเลยที่ 1 ค้างชำระราคาสินค้าคิดเป็นเงินเท่าไร ส่วนจะเป็นสินค้าอะไร รับไปจากโจทก์เมื่อใดจำนวนเท่าใด ไม่ได้คืนสินค้าอะไร จำนวนเท่าใด มีราคาเท่าใด ครั้งใดหักทอนบัญชีเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าสินค้าที่ได้ส่งมอบ เมื่อโจทก์อ้างว่าสินค้าที่ส่งแล้วไม่มีการรับคืนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2540 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2545 จึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเกินกว่า 2 ปี คดีขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ตกลงรับหนังสือแบบเรียนและอุปกรณ์การศึกษาของโจทก์ไปขายโดยจำเลยที่ 1 ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นส่วนลดร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 35 จากราคาปกหนังสือ หากสินค้าที่โจทก์ฝากขายเหลือจำเลยที่ 1 ต้องส่งคืนให้แก่โจทก์แล้วหักทอนบัญชีชำระค่าสินค้าที่ฝากขายใน 1 ปี มีงวดบัญชี 2 ครั้ง จำเลยที่ 1 ก็รับว่าตกลงกับโจทก์ดังกล่าว แต่ชำระราคาสินค้าแล้ว ดังนี้ ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าสินค้าที่ได้ส่งมอบตามที่จำเลยที่ 1 อ้าง แต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เมื่อนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2542 ซึ่งจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายถึงวันที่ 24 ตุลาคม 2545 อันเป็นวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องเพียงใด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าหรือไม่ ต้องพิจารณาจากใบสั่งซื้อโดยโจทก์มีเพียงใบสั่งซื้อตามเอกสารหมาย จ.25 และ จ.27 สำเนาใบรับส่งของตามเอกสารหมาย จ.29 และใบส่งสินค้าตามเอกสารหมาย จ.12 จำนวน 61 ฉบับ แต่มีลายมือชื่อจำเลยที่ 1 รับสินค้า 3 ฉบับ นอกนั้นไม่มีลายมือชื่อผู้รับสินค้าบางฉบับมีลายมือชื่อนายชาญชัย เป็นผู้รับสินค้า ทั้งที่นายชาญชัยเป็นพนักงานขายของโจทก์ จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าจากโจทก์ และจำเลยที่ 1 ยังคงค้างค่าสินค้าทั้งหมดขณะที่โจทก์มีหนังสือแจ้งหนี้ค้างชำระเพียง 69,481.85 บาท ตามเอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 5 ไม่มีรายการสินค้าอื่นที่ยังค้างอยู่อีกนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับข้อเท็จจริงทั้งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาว่ายังคงค้างค่าสินค้า 69,481.85 บาท ตามสำเนาหนังสือของโจทก์แจ้งยอดหนี้ค้างชำระถึงจำเลยที่ 1 ฉบับวันที่ 18 พฤษภาคม 2541 ตามเอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 5 ประกอบกับจำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ฉบับวันที่ 24 เมษายน 2543 ว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว 210,000 บาท คงค้างชำระ 100,000 บาทเศษ ตามเอกสารหมาย จ.16 การที่ทราบยอดหนี้ดังกล่าวแสดงว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มีการตรวจสอบสินค้าที่โจทก์ส่งไปฝากขายและสินค้าเหลือที่จำเลยที่ 1 ส่งคืนแล้วคิดหักทอนบัญชีและชำระหนี้กันหลายครั้งแล้วตามที่โจทก์นำสืบ จึงเป็นการล่วงเลยขั้นตอนพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 จะได้รับสินค้าไปจากโจทก์หรือไม่อีก พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าตามฟ้องครบแล้ว ส่วนปัญหานอกจากยอดหนี้ 69,481.85 บาทแล้ว จำเลยที่ 1 ยังค้างชำระหนี้อื่นอีกหรือไม่ ได้ความจากนางจินตนา หัวหน้าบัญชีลูกหนี้ของโจทก์เบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า ตามหนังสือเอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 5 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 1 ค้างหนี้ 69,481.85 บาท นั้นเป็นรายการเฉพาะสินค้าที่ส่งไปบ้านของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ส่วนรายการสินค้าที่ส่งไปยังโรงเรียนที่จำเลยที่ 1 สอนยังมีหนี้ค้างชำระอีก 100,000 บาทเศษ ซึ่งคำเบิกความดังกล่าวสอดคล้องกับที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.16 ระบุว่าจำเลยที่ 1 ทราบว่าค้างชำระ 100,000 บาทเศษ และตามสรุปรายการแจ้งยอดบัญชีเอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 3 ระบุว่า เป็นสินค้าที่ส่งไปที่โรงเรียน 144,212.80 บาท กับตามสำเนาหนังสือของโจทก์ฉบับวันที่ 18 พฤษภาคม 2541 แจ้งว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระ 69,481.85 บาท เอกสารหมาย จ.28 แผ่นที่ 5 ประกอบกับตามสรุปรายการแจ้งยอดบัญชีก็ระบุรายการแยกเป็นสินค้าที่ส่งไปที่บ้านกับสินค้าที่ส่งไปที่โรงเรียนเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และมีจำนวนเงินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ตรงกับเอกสารหมาย จ.25 แผ่นที่ 3 และแผ่นที่ 5 ข้างต้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้ 183,694.65 บาท ให้แก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 3,000 บาท แทนโจทก์

Share