คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาได้ และมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในภายหลัง ซึ่งไม่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงนามทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาและให้จำเลยที่ 1 นำส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์เพื่อแก้ฎีกา ทั้งไม่ปรากฏว่ามีหมายแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งดังกล่าว ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ทราบคำสั่งรับฎีกาของศาลชั้นต้นที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 7 วันนั้นจะถือว่าจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อันเป็นการทิ้งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2),247ไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้คืนเงินแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้หลายประการ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน 12,559,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2536 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 1,393,610.54 บาท(ฟ้องวันที่ 31 ตุลาคม 2537)

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยไม่รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน12,559,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10พฤษภาคม 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 3เมษายน 2543 พร้อมกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2543อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาได้ โดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันว่า “จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถาได้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 สำเนาให้โจทก์ ให้จำเลยที่ 1นำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ หากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา” ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม2544 เจ้าหน้าที่ศาลทำรายงานเสนอผู้พิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ไม่นำส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์เพื่อแก้ฎีกาล่วงเลยเวลามานานแล้วตามเอกสารในสำนวนแผ่นที่ 178/1 ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อให้พิจารณาสั่ง

พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ทิ้งฎีกาหรือไม่ เห็นว่าแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาได้และได้มีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในภายหลัง ซึ่งข้อเท็จจริงในสำนวนไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ลงนามทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้แก่โจทก์เพื่อแก้ฎีกา ทั้งไม่ปรากฏว่ามีหมายแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ทราบคำสั่งรับฎีกาของศาลชั้นต้นที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องดำเนินการส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์เพื่อแก้ฎีกา การที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาให้โจทก์เพื่อแก้ฎีกาภายใน 7 วันตามคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวนั้น จะถือว่าจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด อันเป็นการทิ้งฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2), 247ไม่ได้

อนึ่ง สำหรับฎีกาของโจทก์นั้นเมื่อกระบวนพิจารณาชั้นส่งหมายนัดและสำเนาฎีกาของจำเลยที่ 1 ยังไม่ชอบ ในชั้นนี้จึงให้รอการวินิจฉัยไว้ก่อน”

ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ทราบและปฏิบัติตามคำสั่ง แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมไว้รวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

Share