คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4198/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยระบุตรงกันว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 20/96 ถนนสุขุมวิท ซอยพร้อมมิตร แขวงคลองตันเหนือ เขตคลองเตยกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ การที่จำเลยกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดขอนแก่นเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นกล่าวอ้างเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจึงได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิและความรับผิดของบริษัทเดิมทั้งหมด โดยผลของกฎหมายตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 185 มิใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 จึงไม่ต้องทำหลักฐานการโอนหนี้เป็นหนังสือแม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการโอนหนี้ระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด กับโจทก์และไม่ได้บอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 306 โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อมาจำเลยทำความตกลงกับโจทก์เพื่อเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิต ตกลงให้ใช้บัญชีเดินสะพัดของจำเลยเป็นบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยในการเรียกเก็บเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปด้วย ข้อตกลงและการปฏิบัติต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นการกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาโดยมีการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค อันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด
โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจดูแลกิจการผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ออกทดรองไป เมื่อกฎหมายในเรื่องบัญชีเดินสะพัดมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
โจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 และนำยอดเงินการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดที่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้มาหักจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2536 เมื่อหักทอนบัญชีกันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับจำเลยโดยให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2538 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์2538 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยมิได้กล่าวด้วยว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เป็นอันเพิกถอนไป เป็นการสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ โดยเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เลขที่ 040-3-02005-7 ในนาม “รามาคอลเลคชั่น” ไว้แก่โจทก์ที่สาขาซอยไชยยศ มีข้อตกลงว่าจำเลยจะสั่งจ่ายเงินในบัญชีเดินสะพัดด้วยการใช้เช็คหรือเอกสารอื่นของโจทก์เป็นหลักฐานแห่งการเบิกเงินและตัดทอนบัญชีเดินสะพัดต่อกันหากเงินในบัญชีไม่พอจ่าย แต่โจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนจำเลยยอมผูกพันตามยอดเงินที่โจทก์จ่ายไป และยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นในยอดเงินดังกล่าวแก่โจทก์ในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์คิดจากผู้กู้ยืมได้ ในขณะทำสัญญาธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้สูงสุดในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2535 จำเลยบันทึกข้อตกลงกับโจทก์เพื่อเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตหลายชนิดที่ผู้ถือบัตรเครดิตนำมาใช้ซื้อสินค้าหรือบริการแทนการชำระเงินสด โดยจำเลยต้องตรวจดูความถูกต้องของบัตรเครดิตและราคาสินค้าหรือบริการแก่ผู้ถือบัตรเครดิตตามเงื่อนไขและวงเงินที่โจทก์กำหนดให้ ถ้าผู้ถือบัตรเครดิตต้องการซื้อสินค้าหรือบริการมากกว่าวงเงินที่กำหนด จำเลยต้องขออนุมัติจากโจทก์ก่อน ซึ่งจำเลยจะต้องบันทึกรหัสที่โจทก์อนุมัติเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรลงในหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิป และส่งให้โจทก์เรียกเก็บเงินให้แก่จำเลย โดยยอมให้โจทก์คิดค่าธรรมเนียมในการเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีเดินสะพัดของจำเลยเมื่อโจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยหรือนำเงินเข้าบัญชีจำเลยแล้วหากปรากฏในภายหลังว่าจำเลยปฏิบัติผิดไปจากข้อตกลงที่ระบุไว้หรือกรณีอื่นใดที่ทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเซลสลิปได้จำเลยจะต้องคืนเงินที่โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บได้ให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินหรือนำเงินเข้าบัญชีให้แก่จำเลย และยอมให้โจทก์หักเงินพร้อมดอกเบี้ยออกจากบัญชีของจำเลยได้ทันที หากเงินในบัญชีไม่มีหรือไม่พอชำระหนี้ให้ถือเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันที่เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นต้นไป จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินเกินบัญชีและเงินเข้าบัญชีดังกล่าว กับได้ส่งเซลสลิปมาขึ้นเงินสดกับโจทก์หลายครั้ง โจทก์ได้นำเงินเข้าบัญชีจำเลยทุกครั้ง ต่อมาโจทก์ได้ส่งเซลสลิปของจำเลยจำนวน 35 ฉบับ เป็นเงิน 1,223,000 บาท ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารที่ออกบัตรเครดิตของผู้ถือบัตร แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ โดยธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตแจ้งว่าบัตรเครดิตที่ใช้ซื้อสินค้าตามเซลสลิปดังกล่าวเป็นบัตรเครดิตปลอมและคืนเซลสลิปแก่โจทก์ โจทก์จึงหักเงินที่ได้จ่ายแก่จำเลยตามเซลสลิปดังกล่าวออกจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลย แต่เงินในบัญชีของจำเลยมีไม่เพียงพอ จึงถือเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและคิดดอกเบี้ยทบต้น กับได้ทวงถามให้จำเลยนำเงินเข้าบัญชีหลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์2538 โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยเพิกเฉย สัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,891,172.85 บาท จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ไม่ทบต้นนับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์2538 ถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 721,779.46 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,612,952.31 บาทขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,612,952.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,891,172.85 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า มูลหนี้ที่โจทก์นำฟ้องเกิดขึ้นเมื่อปี 2534 ก่อนที่โจทก์จะแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับโอนสิทธิหน้าที่และความรับผิดของธนาคารโจทก์เดิมฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม และโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายไป สิทธิเรียกร้องของโจทก์มีอายุความ 2 ปี มูลหนี้ตามฟ้องเกิดขึ้นในปี 2534 แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,109,308.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,801,066.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้หักเงินจำนวน 340,061.74 บาท ออกให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้หรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยระบุข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 20/96 ถนนสุขุมวิท ซอยพร้อมมิตรแขวงคลองตันเหนือ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ การที่จำเลยกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดขอนแก่นเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นกล่าวอ้าง เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย…

ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สามมีว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยโดยไม่มีหลักฐานการโอนหนี้ระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด กับโจทก์ และไม่ได้บอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจึงได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิและความรับผิดของบริษัทเดิมทั้งหมดโดยผลของกฎหมายตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2534 มาตรา 185 มิใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 จึงไม่ต้องทำหลักฐานการโอนหนี้เป็นหนังสือดังที่จำเลยฎีกา แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการโอนหนี้ระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด กับโจทก์ และไม่ได้บอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง

ปัญหาต้องวินิจฉัยประการที่สี่มีว่า หลักฐานการใช้บัตรเครดิต แทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน 35 ฉบับ เกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอมหรือไม่ และบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดอันจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม2534 จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 04-02005-7 ชื่อบัญชี”รามาคอลเลคชั่น” ที่ธนาคารโจทก์สาขาซอยไชยยศ เพื่อใช้เป็นบัญชีเดินสะพัด ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2534 จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตตามเอกสารหมาย จ.6 ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2536 จำเลยนำหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน 35 ฉบับ เป็นเงิน1,223,000 บาท ส่งมอบต่อโจทก์เพื่อขอรับเงินสดจากโจทก์ โจทก์นำเงินเข้าบัญชีจำเลยแล้วแต่เรียกเก็บเงินจากผู้ออกบัตรเครดิตไม่ได้ โดยบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตปฏิเสธว่า หลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปดังกล่าวเป็นหลักฐานอันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอมตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งโจทก์มีนายสุวิทย์ หมื่นเดชเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการบัตรเครดิต มีหน้าที่ตรวจสอบ ควบคุมและป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับบัตรเครดิตเป็นพยานเบิกความว่า ตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปตัวอักษรซีวี มีขนาดใหญ่กว่า และมีลักษณะผิดจากตัวอักษรในบัตรมาตรฐานจำเลยไม่นำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน 35 ฉบับนั้น เกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอมประกอบกับตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตกำหนดให้เป็นหน้าที่ของร้านค้าต้องตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของบัตรเครดิต ชื่อผู้ถือบัตร เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน หรือเลขที่หนังสือเดินทาง และประเทศที่ออกหนังสือเดินทางด้วย แต่จำเลยมิได้กระทำการดังกล่าว ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าการขายสินค้าของจำเลยเป็นการปฏิบัติไปตามปกติที่เคยกระทำมา และไม่ใช่ความผิดของจำเลยจึงรับฟังไม่ได้ ส่วนข้อที่ว่าความรับผิดของจำเลยเป็นความรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่นั้น เห็นว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด ชื่อบัญชี รามาคอลเลคชั่น บัญชีเลขที่ 040-3-02005-7 ต่อมาจำเลยทำความตกลงกับโจทก์เพื่อเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิต ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิตเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 7 ตกลงให้ใช้บัญชีเดินสะพัดชื่อบัญชีรามาคอลเลคชั่น บัญชีเลขที่ 040-3-02005-7 ของจำเลยเป็นบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยในการเรียกเก็บเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปด้วย ตามข้อตกลงข้อที่ 8 ถึงข้อที่ 10 กำหนดให้ใช้บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัด โดยยินยอมให้โจทก์หักทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยหักกลบลบหนี้กันได้ ตามวิธีและประเพณีปฏิบัติของธนาคารเกี่ยวกับบัญชีเดินสะพัดหากจำเลยต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ แต่เงินในบัญชีไม่มีให้หักหรือมีแต่ไม่พอให้หักชำระหนี้ได้ครบจำนวน จำเลยยินยอมให้โจทก์นำหนี้ทั้งจำนวนนั้น หรือจำนวนที่คงเหลือหลังจากหักชำระแล้วนั้นลงจ่ายในบัญชีเพื่อให้เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี และจำเลยยินยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงินที่เป็นหนี้ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดของธนาคารด้วยนับแต่วันที่เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นต้นไป หลังจากมีข้อตกลงดังกล่าวแล้ว จำเลยได้ส่งหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปจำนวน 35 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.8 มาเรียกเก็บเงินจากโจทก์ โจทก์คิดค่าธรรมเนียมเรียกเก็บแล้วได้เอาเงินเข้าบัญชีของจำเลยตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.12 เมื่อพิจารณาเอกสารหมาย จ.8 และ จ.12 ประกอบกันแล้ว จะเห็นได้ว่าหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปทั้งหมดเป็นรายการขายสินค้าระหว่างวันที่ 19 ถึงวันที่ 25 เมษายน 2536 ซึ่งโจทก์ได้นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ทำให้ปรากฏยอดเงินคงเหลือในบัญชี ณ วันดังกล่าวว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้ ในระหว่างนี้จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 29 ฉบับ ตามเอกสารหมาย จ.7 ถอนเงินออกจากบัญชี ทำให้ปรากฏยอดเงินคงเหลือในบัญชีว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ ดังนี้เห็นได้ว่าข้อตกลงและการปฏิบัติต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นการกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาโดยมีการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคอันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัด จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจดูแลกิจการผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ออกทดลองไปเมื่อกฎหมายในเรื่องบัญชีเดินสะพัดมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 และนำยอดเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดที่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้มาหักจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2536 เมื่อหักทอนบัญชีกันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,801,066.67 บาทต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากับจำเลยโดยกำหนดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวของโจทก์เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2538 อายุความตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน1,801,066.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้หักเงินจำนวน 340,061.75 บาท ออก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์3,000 บาท เท่านั้น มิได้กล่าวด้วยว่านอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีผลทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เป็นอันเพิกถอนไป เป็นการสั่งเกี่ยวกับเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้อง เมื่อมีคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เสียใหม่ให้ถูกต้อง”

พิพากษายืน ให้จำลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์โดยกำหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์รวม 8,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share