คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4197/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่เป็นส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังนั้นเมื่อลูกจ้างของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นกระทรวงเจ้าสังกัดจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2524 เวลากลางวันจำเลยที่ 9 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ตามกฎหมาย ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 5 ให้ขับรถยนต์กระบะบรรทุกเล็กคันหมายเลขทะเบียน 1บ 0204 ไปรับอะไหล่ ณ ที่ว่าการอำเภอลานสัก จำเลยที่ 9 ได้ขับรถยนต์กระบะบรรทุกเล็กคันดังกล่าวโดยมีจำเลยที่ 6 ที่ 7 ควบคุมดูแลออกจากโครงการก่อสร้าง ถนนทับเสลา ตำบลป่าอ้อ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ไปตามถนนสายหนองฉาง-อุ้มผาง บ่ายโฉมหน้าไปทางตลาดปากเหมือง จำเลยที่ 9 ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้แล่นชนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน อ.น.06555 ซึ่งนายวรเทพ สิทธิธัญกิจผู้ตายขับขี่เลี้ยวเข้าไปในทางแยกเข้าอำเภอลานสักอย่างแรง รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวล้มลงกับพื้นถนน นายวรเทพผู้ตายตกจากรถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา การที่จำเลยที่ 9 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายเนื่องจากการละเมิดดังกล่าวคิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น299,700 บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งเก้าร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 299,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่18 กันยายน 2524 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 9 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งหรือทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 9 ได้นำรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปใช้โดยพลการจำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุทัยธานี ไม่มีส่วนบังคับบัญชาจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นข้าราชการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นราชการบริหารส่วนกลางจำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 มาปฏิบัติราชการชั่วคราวยังคงขึ้นตรงต่อสำนักงานการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและเหตุที่เกิดรถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ตาย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับโจทก์ ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์เรียกมาสูงเกินไป

จำเลยที่ 9 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 9 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 273,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสามพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2524 อันเป็นวันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคดีสำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 9 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจำนวน 203,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิด (วันที่ 18 กันยายน 2524) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 9 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกระทรวงและเป็นนิติบุคคลต่างหากจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 9 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยทีท 2 หรือไม่ว่า แม้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำเลยที่ 2จะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2ก็เป็นส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อการบังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 216 ข้อ 13 ที่แก้ไขใหม่แล้วดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 9 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1กระทรวงเจ้าสังกัดจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76

พิพากษายืน

Share