คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370-371/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินปลูกตึกแถวที่โจทก์นำยึด มีกำหนด 15 ปีโดยจดทะเบียนการเช่า. มีข้อสัญญาว่า หากผู้เช่าผิดสัญญา.ไม่ชำระค่าเช่า 3 ครั้งติดๆ กัน.ยอมยกสิ่งปลูกสร้างให้เป็นกรรมสิทธิ์. ดังนี้ ก่อนเจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดตึกแถวพิพาทจำเลยยังไม่ผิดนัดชำระค่าเช่า. จำเลยยังไม่ผิดสัญญา. ตึกพิพาทยังเป็นของผู้ร้องผู้ให้เช่าอยู่.ไม่ใช่ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย. หรือตามกฎหมายย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี.
จำเลยปลูกสร้างตึกพิพาทลงในที่ดินโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 15 ปีจึงจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน. เมื่อสัญญาเช่ายังไม่ครบอายุ. ตึกพิพาทยังไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน.

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้ ศาลพิจารณาและพิพากษารวมกัน เนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 15/21 ถึง 15/26รวม 6 ห้อง เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องต่างร้องขัดทรัพย์ต้องกันว่า เฉพาะตึกแถวเลขที่ 15/24นั้น ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดที่ 15481 ซึ่งพลเรือจัตวาขุนกำจัดโยธาพาธผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และนางจัน รัตนผล ผู้ร้องเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกิน ฯลฯ นางจันได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินปลูกตึกแถวที่โจทก์นำยึดมีกำหนด 15 ปี จดทะเบียนการเช่า ข้อสัญญามีว่า หากผู้เช่าผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า 3 ครั้งติด ๆ กัน ยอมยกสิ่งปลูกสร้างให้เป็นกรรมสิทธิ์ จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า ฯลฯ เป็นผลให้ตึกแถวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางจัน จึงไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนพลเรือจัตวาขุนกำจัดโยธาพาธ อ้างว่าจำเลยได้ปลูกตึกแถวลงในที่ดินของผู้ร้อง โดยลักษณะถาวรฯ เจตนาจะให้เป็นส่วนควบ ฯลฯตึกแถวย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตั้งแต่วันที่ปลูก ผู้ร้องทั้งสองต่างขอให้ปล่อยการยึด โจทก์ให้การต่อสู้อย่างเดียวกันทั้งสองคดีว่า สัญญาเช่ามีกำหนด 15 ปี เมื่อครบสัญญาแล้วจึงจะยอมให้สิ่งปลูกสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่อาคารที่ปลูกสร้างย่อมไม่กลายเป็นส่วนควบของที่ดิน สัญญาเช่ายังไม่ครบอายุและจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่า ฯลฯ คู่ความรับกันว่า สัญญาเช่าลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2506 เป็นสัญญาเช่าที่ดินเพื่อปลูกตึกพิพาทเลขที่ 15/24 โดยจำเลยทำกับนางจัน ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน วินิจฉัยว่าตึกแถวเลขที่ 15/24ยังเป็นของจำเลย ให้ยกคำร้องขัดทรัพย์เสียทั้ง 2 สำนวน ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผลของการถูกยึดถือว่าอย่างน้อยจำเลยไม่มีสิทธิครอบครองตึกพิพาทตึกพิพาทตกเป็นของผู้ร้องตามสัญญาคดีจึงอยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285(2) กล่าวคือเป็นทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้หรือไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีของโจทก์ พิพากษากลับ ให้ถอนการยึด โจทก์ทั้งสองคดีฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนเจ้าพนักงานยึด จำเลยยังไม่ผิดนัดชำระค่าเช่า 3 ครั้งติด ๆ กัน และยังไม่ได้ออกจากตึกพิพาท จำเลยยังไม่ผิดสัญญาข้อ 4 ฉะนั้น ขณะเจ้าพนักงานยึด ตึกพิพาทยังเป็นของจำเลยผู้เช่าอยู่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะปัญหาในชั้นนี้มีว่าขณะยึดตึกพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิของผู้ร้องหรือยัง กรณีไม่ใช่ปัญหาเรื่องที่ว่า เมื่อตึกถูกยึดแล้วจำเลยจะต้องออกจากที่เช่าโดยปริยาย กรณีไม่อยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285(2) เพราะตึกพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย หรือตามกฎหมายย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ส่วนที่พลเรือจัตวาขุนกำจัดโยธาพาธร้องขัดทรัพย์ว่า ตึกพิพาทปลูกบนที่ดินของผู้ร้อง โดยลักษณะถาวร และเจตนาจะให้ตกเป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตั้งแต่วันที่ปลูกนั้น เห็นว่าจำเลยปลูกสร้างตึกพิพาทลงในที่ดินรายนี้โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดิน ซึ่งมีกำหนดระยะเวลา 15 ปีจึงจะตกเป็นกรรมสิทธิ์เมื่อสัญญาเช่ายังไม่ครบอายุ ตึกพิพาทยังไม่เป็นส่วนควบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 กรรมสิทธิ์ในตึกพิพาทยังไม่เป็นของผู้ร้อง คดีเป็นอันฟังได้ว่า ตึกพิพาทยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองคดี แต่ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิยึดได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share