แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะ และโดยจำเลยที่ 2 มีอาวุธติดตัวไปด้วย พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำคุกจำเลยคนละ 18 ปี คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุกคนละ 9 ปี โจทก์ฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งไม่ชอบ จำเลยทั้งสองไม่ฎีกา เมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าในการปล้นทรัพย์นี้จำเลยที่ 2 กับพวกมิได้มีอาวุธแต่อย่างใด แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ทั้งเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ มีมีดพกปลายแปลมเป็นอาวุธติดตัวและพวกพาไปตามทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๑ คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันมีมีดพกดังกล่าวร่วมกันปล้นทรัพยโดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๒, ๓๔๐ ตรี, ๘๓, ๓๗๐, ๘๐, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ และข้อ ๑๕
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ แต่จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า มีคนร้าย ๓ คนร่วมกันปล้นเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยคนร้ายใช้รถยนต์เก๋งเป็นพาหนะ แต่พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าคนร้ายมีอาวุธติดตัวไปด้วย แต่ฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้จริงและคดี (ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑) ก็ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้พกพามีดปลายแหลมไปในเมืองและทางสาธารณะ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ ลงโทษ จำคุกคนละ ๑๕ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๗ ปี ๖ เดือน คำรับชั้นสอบสวนของจำเลยที่ ๒ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๑๐ ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยที่ ๒ มีอาวุธปืนติดตัวเข้าร่วมปล้นด้วย แม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ มีมีดเป็นอาวุธแต่ก็ยังฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวอยู่ ศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสองตามคำขอของโจทก์ได้ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๔๐ ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕ ลงโทษจำคุกคนละ ๑๘ ปี มีเหตุบรรเทาโทษโดยคำให้การชั้นศาลของจำเลยที่ ๑ และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ ๒ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ คนละกึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ ๙ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลดโทษให้แก่จำเลยที่ ๒ เพียงหนึ่งในสามของโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนด
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้โดยไม่มีฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันใช้รถยนต์เป็นพาหนะทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปจริง แต่เห็นสมควรจะได้พิจารณาเสียก่อนว่า จำเลยที่ ๒ ควรมีความผิดพลาดสถานใด เพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ กับพวกรวม ๓ คนได้ร่วมกันกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ โดยจำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียวมีมีดพกปลายแหลมเป็นอาวุธติดตัวไปใช้ขู่เข็ญผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยที่ ๒ มีและใช้อาวุธปืนในการกระทำผิด ซึ่งศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วไม่ฟังว่าจำเลยที่ ๒ มีอาวุธแต่อย่างใดเลย แม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม แต่ก็เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ มีและใช้อาวุธปืนในการปล้น ทั้งคดีก็รับฟังไม่ได้เช่นเดียวกันว่าจำเลยที่ ๒ กับพวกมีและใช้มีดเป็นอาวุธในการปล้น แม้จำเลยที่ ๒ จะให้การในชั้นสอบสวนว่ามีอาวุธปืนก็ตาม แต่ในคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป และจำเลยให้การปฏิเสธในขั้นพิจารณาเช่นนี้แล้ว ถ้าโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้รับฟังได้ตามข้อกล่าวหา คดีก็ย่อมจะลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ ๒ จึงคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา ๓๔๐ ตรี ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้เท่านั้น ส่วนการลดโทษให้แก่จำเลยที่ ๒ นั้นเห็นสมควรลดโทษให้เพียง ๑ ใน ๓ ตามฎีกาโจทก์ อนึ่ง คดีนี้แม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ฎีกาขึ้นมาก็ตาม ก็มีเหตุอยู่ในส่วนลักษณะของคดีดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้จำเลยที่ ๑ ได้รับผลตามคำวินิจฉัยให้ชั้นนี้ด้วย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ได้วางบทกำหนดโทษและละลดโทษจำเลยทั้งสองเป็นว่า ให้วางบทกำหนดโทษและบังคับคดีลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์