แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายโดยมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยซื้อจาก ป. มารดาจำเลย จำเลยมิได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของเอกสารและยอมรับข้อเท็จจริงว่ามารดาจำเลยขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์จริง ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย จำเลยต้องแสดงพยานหลักฐานให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยตามฟ้องมุ่งประสงค์เพื่อแย่งเอาสิทธิครอบครองของโจทก์มาเป็นของตนมิใช่กระทำในฐานะแทนผู้ใด หากพิสูจน์ไม่ได้ย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์จากนางประภาส เอี๋ยวสกุล มารดาจำเลย โจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดิน จำเลยคัดค้านว่าผู้รังวัดปักหมุดหลักเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินของโจทก์ทั้งแปลงโดยการครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินและเข้าไปปลูกสร้างคอกสุกรจำนวน 3 คอก และโรงเรือนชั่วคราวเป็นเพิงพักอาศัยจำนวน 1 หลังบนที่ดินของโจทก์ โจทก์เสียหายไม่อาจนำที่ดินดังกล่าวออกให้เช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาทขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนโรงเรือนชั่วคราวทั้ง 6 หลังออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 154,500 บาท และต่อไปวันละ 500 บาท จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากมารดาจำเลยแต่ไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2532 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและทำประโยชน์ จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองเกิน 1 ปี นับแต่วันถูกแย่งการครอบครองค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 500 บาท จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้อง และให้จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทอีกต่อไปกับให้โจทก์ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อจำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2520 เรื่อยมาโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดสิทธิเรียกร้องเอาคืนซึ่งที่ดินพิพาทจำเลยใช้สอยโรงเรือนชั่วคราวในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของบิดาจำเลยที่โจทก์อนุญาตให้อยู่ในที่ดินพิพาทเท่านั้น จำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าบิดาจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนชั่วคราวทั้ง 6 หลังออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 345หมู่ที่ 2 ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันที่ 26 มีนาคม 2539เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีนายสมปอง ตันนาภัย เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยเป็นบุตรนางประภาสและนายถวิล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2520 โจทก์ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 345 จากนางประภาสที่ดินแปลงดังกล่าวแบ่งแยกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 105 โจทก์ยื่นคำขอออกโฉนดที่ดินและนำช่างรังวัดทำการรังวัดที่ดินเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยชี้แนวเขตที่ดินของนางประภาสส่วนที่คงเหลือ แต่ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับรองการรังวัด ต่อมาจำเลยคัดค้านการรังวัดและยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ อ้างว่าครอบครองที่ดินกว่า 6 ปี ที่ดินแปลงดังกล่าวคือที่ดินพิพาท มีสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยทำขึ้นบางส่วนตั้งอยู่ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยผู้ใดมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายโจทก์มีหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยซื้อจากนางประภาสมารดาจำเลยเมื่อปี 2520 จำเลยมิได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงของหนังสือรับรองการทำประโยชน์และยอมรับข้อเท็จจริงว่ามารดาจำเลยขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์จริง ศาลชั้นต้นจึงกำหนดให้จำเลยเป็นผู้มีหน้าที่นำสืบก่อนด้วยภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยเช่นนี้ จำเลยต้องแสดงพยานหลักฐานให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยตามฟ้องมุ่งประสงค์เพื่อแย่งเอาสิทธิครอบครองของโจทก์มาเป็นของตน มิใช่กระทำในฐานะแทนผู้ใด หากจำเลยพิสูจน์ไม่ได้จำเลยย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี ซึ่งจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อเดือนธันวาคม2532 จำเลยเดินทางจากกรุงเทพมหานครมาอาศัยบ้านมารดาเลขที่ 32หมู่ที่ 2 ถนนเพชรเกษม ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาและได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับโจทก์จนทราบว่าโจทก์ไม่เสียภาษีประจำปี และที่ทำการของโจทก์ปิดกิจการไปนานแล้ว จำเลยจึงไม่อาจทำความตกลงเรื่องที่ดินพิพาทกับโจทก์ได้เมื่อเห็นว่าโจทก์ละทิ้งที่ดินพิพาทกว่า 10 ปี จำเลยจึงเข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยการปลูกพืชผลอาสินและเลี้ยงสุกร โดยสร้างคอกสุกรบนที่ดินพิพาท 2 คอกตั้งแต่ปี 2533 จำเลยมีพยานบุคคลเช่นนางคมคิด วงศ์พานิชนายมูล แซ่ตัน มาเบิกความสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าวอันหมายถึงจำเลยแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยเปิดเผยทั้งยังหวงกันมิให้บุคคลอื่นเข้ายุ่งเกี่ยว แม้แต่นายมูลยังต้องทำหนังสือยืมใช้ที่ดินเป็นหลักฐานป้องกันมิให้เกิดการแย่งชิงที่ดินพิพาทจากจำเลยในภายหลัง หากความจริงเป็นดังที่จำเลยนำสืบ เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยควรแสดงสิทธิของตนแก่โจทก์และเจ้าพนักงานที่ดินเสียในขณะนั้นพร้อมกับโต้แย้งการรังวัดของโจทก์ว่าโจทก์มิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอีกต่อไปจึงไม่อาจทำการรังวัดหรือทำการอื่นใดที่อาจทำให้จำเลยเสียสิทธิได้แต่จำเลยมิได้กระทำการดังกล่าวมานั้น ดังที่ปรากฏตามคำเบิกความจำเลยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ได้ให้ถ้อยคำต่อนายถิรวรรธ์ ทรงประจักษ์กุลช่างรังวัดไว้อย่างละเอียด ซึ่งไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท วันที่ 11 มีนาคม 2539 จำเลยคัดค้านการรังวัด ซึ่งไม่มีการกล่าวอ้างโดยชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท วันที่ 25 มีนาคม2539 จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาททางทิศใต้ เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าต้องปักหลักไม้ในคอกสุกร จำเลยจึงไม่ยอมให้รังวัดตามบันทึกถ้อยคำ ซึ่งก็ไม่มีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอีกเช่นกันจำเลยจบการศึกษาทางด้านนิติศาสตร์ เคยปฏิบัติงานเป็นทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานีหลายปี ทั้งนี้ตามคำเบิกความของนายเพียรมาลยานนท์ น้องเขยจำเลย จำเลยย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของบันทึกถ้อยคำที่เจ้าพนักงานที่ดินผู้ทำการรังวัดจัดทำขึ้นว่าเป็นเอกสารสำคัญที่สามารถพิสูจน์สิทธิของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ จำเลยลงลายมือรับรองข้อความในบันทึกถ้อยคำจึงผูกมัดจำเลยมิให้โต้แย้งข้อเท็จจริงเป็นประการอื่นใดพิเคราะห์ข้อความในบันทึกถ้อยคำตลอดแล้วเห็นว่าจำเลยนอกจากไม่โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว จำเลยยังแสดงออกถึงการยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอยู่ด้วยการมาระวังชี้แนวเขตที่ดินของนางประภาสในส่วนที่ติดกับที่ดินพิพาท แม้จำเลยจะมิได้รับหนังสือแจ้งจากเจ้าพนักงานที่ดินก็ตาม ทั้งยังแสดงตนว่าได้ครอบครองที่ดินของนางประภาสผู้ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2530 เหตุที่จำเลยไม่ยอมลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตหรือคัดค้านการรังวัดในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 เนื่องจากต้องปรึกษาญาติพี่น้องก่อนจะดำเนินการต่อไป กระทั่งวันที่ 11 มีนาคม 2539 จำเลยจึงคัดค้านการรังวัดว่าหลักเขตที่ปักไว้หมายเลข 0001 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่ที่ดินพิพาท วันที่ 25 มีนาคม 2539 จำเลยยังยืนยันว่าจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของนางประภาสได้มาระวังชี้แนวเขตให้ช่างทำแผนที่แสดงแนวเขตการคัดค้าน แต่แนวเขตที่จำเลยครอบครองอยู่ต้องปักหลักไม้ในคอกสุกร จำเลยจึงไม่ประสงค์ให้ทำการรังวัดปักเขตการมาระวังชี้แนวเขตดังที่จำเลยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินผู้ทำการรังวัดนั้นย่อมหมายถึงการยืนยันแนวเขตที่ดินพิพาทและที่ดินของนางประภาสว่าอยู่จุดใดจึงจะถูกต้องต่อความเป็นจริง เมื่อจำเลยอ้างว่าเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2532 แล้วไฉนจำเลยจึงต้องมาระวังชี้แนวเขตที่ดินของนางประภาสให้เกิดความยุ่งยากสับสนขึ้นมา และโดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏขณะนั้นว่าโจทก์โดยนายสมปองหุ้นส่วนผู้จัดการคือผู้นำชี้แนวเขตที่ดินพิพาทให้ผู้รังวัดทำการรังวัด พฤติการณ์แสดงออกเด่นชัดว่าโจทก์อ้างตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทอย่างเปิดเผยต่อหน้าจำเลยและบุคคลภายนอก แต่จำเลยไม่คัดค้านการกระทำของโจทก์ จนเหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงวันที่ 1 เมษายน 2539 จำเลยจึงยื่นคำขอจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 เสมือนจำเลยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนครอบครองอยู่ก่อนการรังวัด แต่การยื่นคำขอนั้น เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจดำเนินการให้จำเลยได้เพราะจำเลยไม่นำหลักฐานการแสดงสิทธิมาประกอบคำขอทำให้มีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่าเหตุใดจำเลยไม่ดำเนินการยื่นคำขอหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์เสียแต่วันที่มีการรังวัด การยื่นคำขอภายหลังจากโจทก์ดำเนินการรังวัดแล้ว จึงมีน้ำหนักเบาบางและไม่ชอบด้วยเหตุผลจนไม่อาจรับฟังเอาเป็นความสัตย์จริงได้ พฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าจำเลยยอมรับสิทธิของโจทก์ปรากฏตามคำเบิกความของนายถิรวรรธ์ผู้ทำการรังวัดที่ดินพิพาทว่า ได้ดำเนินการปักหมุดทำหลักเขตโดยไม่มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงข้างใดคัดค้านการแสดงสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยรับรองแนวเขตให้คงมีแต่จำเลยเท่านั้นที่ไม่ยอมลงลายมือรับรอง จึงต้องทำบันทึกถ้อยคำบันทึกดังกล่าวจำเลยไม่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท นายถิรวรรธ์เป็นช่างรังวัดปฏิบัติงานตามหน้าที่ราชการที่ได้รับมอบหมายโดยไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับผลคดี คำเบิกความของพยานโจทก์ปากนี้จึงมีน้ำหนักที่รับฟังได้ แม้จำเลยจะนำพยานหลักฐานทั้งหลายมาแสดงว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2532 ตลอดจนกล่าวอ้างว่าพยานจำเลยมีเหตุผลดีกว่าฝ่ายโจทก์ดังที่ได้พรรณาไว้ในฟ้องฎีกาอย่างยืดยาวก็เป็นเพียงคำกล่าวอ้างตามความรู้สึกและเข้าใจของจำเลยฝ่ายเดียวแล้วสรุปว่าพยานโจทก์เป็นเท็จนั้น ไม่อาจลบล้างการแสดงออกถึงการยอมรับสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539ให้หมดสิ้นไปได้ ขณะเดียวกันโจทก์นำสืบว่าครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่ปี 2520 และยินยอมให้นายถวิลบิดาจำเลยใช้ประโยชน์จากคอกสุกรที่ตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทเช่นนี้ย่อมเข้าใจได้ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโดยมีนายถวิลเป็นผู้ครอบครองแทนมาตั้งแต่ปี 2520 นายถวิลประกอบอาชีพเป็นผู้ค้าสุกรชำแหละที่ตลาดดังที่นางสมคิดเบิกความ คอกสุกรบนที่ดินพิพาทจึงเกี่ยวข้องกับอาชีพของนายถวิล ทั้งได้ความตามฎีกาของจำเลยว่าบ้านเลขที่ 32 หมู่ที่ 2 ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่าจังหวัดพังงา อันเป็นบ้านที่นายถวิลและจำเลยอาศัยอยู่มีที่ดินหลังบ้านเพียงพอที่จะสร้างคอกสุกรเพื่อขังและชำแหละขายในตลาดสด จึงสอดรับกับทางนำสืบของโจทก์ว่านายถวิลจำต้องมีคอกสุกรในการประกอบอาชีพค้าสุกรชำแหละ เมื่อบ้านที่นายถวิลและจำเลยอาศัยตั้งอยู่บนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 105 ใกล้ชิดติดกับที่ดินพิพาทโดยมีแนวเขตติดต่อกันทางทิศเหนือ ทั้งสภาพของที่ดินพิพาทเป็นพื้นที่มีหญ้า วัชพืช ต้นมะพร้าว ต้นกล้วย ขึ้นอยู่ปะปนทั่วไป ไม่มีอาคารสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยถาวร จากสภาพของที่ดินพิพาทเช่นนี้การที่มีคอกสุกรตั้งอยู่จึงมิใช่เรื่องผิดปกติ และน่าเชื่อว่าคอกสุกรนั้นมีมาก่อนเนิ่นนานกว่าที่จำเลยอ้าง โดยพิจารณาจากความเก่าของวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่ประกอบเป็นคอกสุกร เป็นต้น จำเลยมิได้นำสืบปฏิเสธอย่างแจ้งชัดว่านายถวิลมิได้ใช้คอกสุกรบนที่ดินพิพาท ทั้งจำเลยมิได้อยู่อาศัยกับบิดามารดาเป็นเวลานาน ความเป็นไปของที่ดินพิพาทว่าจะมีผู้ครอบครองทำประโยชน์อยู่หรือไม่ จำเลยจึงมิได้รู้เห็นด้วยตนเอง ดังนั้น ที่จำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์ละทิ้งที่ดินพิพาทเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงเป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยตราบใดที่นายถวิลบิดาจำเลยยังมีชีวิตอยู่นายถวิลคือผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์อยู่ตราบนั้น เสมือนโจทก์ครอบครองด้วยตนเองซึ่งจำเลยก็ต้องทราบความจริงข้อนี้ดี การเข้าปลูกสร้างคอกสุกรและใช้ประโยชน์จากที่ดินพิพาทของจำเลย จึงเป็นการอาศัยสิทธิของโจทก์ที่มอบให้แก่นายถวิล ทำให้จำเลยไม่อาจโต้แย้งโจทก์ในวันทำการรังวัดที่ดินพิพาทด้วยเหตุดังกล่าวจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟังได้ยิ่งกว่าว่า ที่ดินพิพาทยังคงเป็นของโจทก์”
พิพากษายืน