คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4186/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยสำแดงว่า เป็นสินค้าอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากร ประเภทที่ 34.02 ข. และได้ชำระอากรขาเข้าตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทดังกล่าว ต่อมากรมศุลกากรจำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ว่าโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรสินค้าที่โจทก์นำเข้าไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้โจทก์เสียค่าอากรขาดไปและแจ้งด้วยว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นความผิดอาญาฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 99 และมาตรา 27 ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรจำเลยที่ 2 หรือคณะกรรมการมีอำนาจเปรียบเทียบปรับและงดการฟ้องร้องได้แล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 102 หรือ 102 ทวิ ดังนี้ ถ้าโจทก์เห็นว่าการที่โจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวยังไม่เป็นความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามข้อกล่าวหาของจำเลยที่ 1 โจทก์ก็ต้องไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 2 หรือคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบและไม่ชำระค่าปรับให้แก่จำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ต่อไป เมื่อโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยที่ 2 หรือคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบปรับและได้ชำระค่าปรับตามที่จำเลยที่ 2 หรือคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบกับชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้าที่ขาดเรียบร้อยแล้ว ย่อมเป็นการเปรียบเทียบปรับที่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าโจทก์ได้ยอมรับแล้วว่าพิกัดอัตราศุลกากรที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้านั้นเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรถึงแม้ว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาจะจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทอื่นก็ตาม โจทก์จะนำมาเป็นมูลฟ้องเป็นคดีแพ่งไม่ได้ และการที่โจทก์ขอสงวนสิทธิ์โต้แย้งไว้ก็ไม่เพียงพอให้ถือว่าโจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยที่ 2 หรือคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้นำสินค้าประเภทสารขัดถูหัวเทป เครื่องเล่นวีดีโอ ชนิดแห้ง เรียกว่า วีดีโอเฮดคลีนเนอร์ ซึ่งโจทก์ได้ชำระภาษีอากรขาเข้าในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓๔.๐๒ ข. ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือแจ้งว่า โจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรผิด โดยจำเลยอ้างว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามานั้นเป็นสินค้าที่อยู่พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓๙.๐๗ เป็นเหตุให้เงินอากรขาเข้าและภาษีการค้าขาดไป เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ไปชำระค่าปรับเพื่อระงับคดีชั้นศุลกากร คำนวณค่าปรับ ๒ เท่าของจำนวนอากร โจทก์เห็นว่าสินค้าดังกล่าวอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภท ๖๘.๐๖ จึงได้อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๒ มีความเห็นเป็นเช่นเดิมว่าสินค้าดังกล่าวอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓๙.๐๗ และมีคำสั่งให้โจทก์นำเงินค่าปรับไปชำระเพื่อระงับคดีชั้นศุลกากรมิฉะนั้นจะดำเนินคดีกับโจทก์ โจทก์ได้นำค่าปรับไปชำระให้กับจำเลยที่ ๑ และทำหนังสือได้แย้งไว้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์และเมื่อสินค้าดังกล่าวอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรที่ ๖๘.๐๖ แล้ว อากรที่จะต้องชำระตามพิกัดนี้ก็มีอัตราน้อยกว่าจำเลยอากรที่โจทก์ได้ชำระให้กับจำเลยไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ มาตรา ๙๔ และมาตรา ๒๗ แต่อย่างใดจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิที่จะทำการเปรียบเทียบปรับโจทก์ ขอให้เพิกถอนการวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยและคำสั่งให้นำภาษีอากรพร้อมทั้งเบี้ยปรรับไปชำระตามหนังสือที่ กค.๐๖๐๕ (ก) /๗๖๐๔ ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๒๘ ให้จำเลยคืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่ ๒ กระทำการตามหน้าที่โดยสุจริตและโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวสารขัดถูหัวเทปเครื่องเล่นวีดีโอชนิดแห้งที่เรียกว่า วีดีโอเฮดคลีนเนอร์ เป็นสารจำพวกพลาสติกจัดเข้าพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓๙.๐๗ ไม่ใช่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๖๘.๐๖ การที่โจทก์สำแดงพิกัดเท็จดังกล่าวเป็นเหตุให้เงินอากรขาเข้าขาดไป กรณีดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร จำเลยจึงมีอำนาจสั่งปรับโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๙๙, ๑๐๒ โดยปรับจำนวน ๒ เท่าของอากรที่ขาด โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าปรับจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาเป็นเครื่องทำความสะอาดหัวเทปเครื่องเล่นวีดีโอ มีลักษณะเป็นตลับเทปเมื่อจะใช้ทำความสะอาดต้องนำตลับเทปดังกล่าวไปใส่ในเครื่องเล่นวีดีโอแล้วเปิดเครื่องเล่นวีดีโอให้ม้วนเทปในตลับหมุนไป เทปจะทำความสะอาดหัวแม่เหล็กของเครื่องเล่นวีดีโอส่วนสินค้าตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓.๐๒ ที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้านั้นตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรกำหนดไว้ว่าเป็นพวกอินทรีย์เคมีที่ใช้ประโยชน์คล้ายสบู่ สิ่งปรุงแต่งที่คล้ายสบู่ และสิ่งปรุงแต่งเพื่อใช้ซักฟองหรือล้างซึ่งจะมีสบู่อยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม ฯ และโจทก์ก็ยอมรับว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาไม่จัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓๔.๐๒ ข. จำเลยจึงกล่าวไทยว่าโจทก์สำแดงในใบขนสินค้าอันเป็นเท็จเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา๙๙ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาไม่อยู่ในพิกัดประเภทที่ ๓๔.๐๒ ข. ตามที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้า โจทก์ยินยอมชำระค่าปรับแล้ว จำเลยจึงไม่มีหน้าที่คืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า กรณีที่จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งไปยังโจทก์ ว่าโจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาไม่ถูกต้อง สินค้าที่โจทก์นำเข้ามาต้องจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๓๙.๐๗ จึงเป็นเหตุให้โจทก์เสียค่าอากรขาดไป และจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งไปด้วยว่า การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นความผิดอาญาฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา ๙๙, ๒๗ ซึ่งจำเลยที่ ๒ หรือคณะกรรมการมีอำนาจทำการเปรียบเทียบปรับและงดการฟ้องร้องได้แล้วแต่กรณี ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา ๑๐๒ หรือ ๑๐๒ ทวิ ดังนั้น ถ้าโจทก์เห็นว่า การที่โจทก์สำแดงพิกัดอัตราศุลกากรไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าดังกล่าวซึ่งไม่ตรงกับพิกัดอัตราศุลกากรที่จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบยังไม่เป็นความผิดฐานสำแดงเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงอากรตามข้อกล่าวหาของจำเลยที่ ๑ โจทก์ก็ต้องไม่ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ หรือคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบ และไม่ชำระค่าปรับให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยให้จำเลยที่ ๑ ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ต่อไป แต่เมื่อโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ หรือคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบปรับและได้ชำระค่าปรับตามที่จำเลยที่ ๒ หรือคณะกรรมการทำการเปรียบเทียบกับชำระค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้าที่ขาดเรียบร้องแล้วย่อมเป็นการเปรียบเทียบปรับที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือว่าโจทก์ได้ยอมรับแล้วว่าพิกัดอัตราศุลกากรที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้านั้นเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงอากร ถึงแม้ว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาจะจัดอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ ๖๘.๐๖ ก็ตาม โจทก์จะนำมาเป็นมูลฟ้องเป็นคดีแพ่งอีกไม่ได้ และการที่โจทก์ขอสงวนสิทธิ์ได้แย้งไว้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ถือว่า โจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ หรือคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ดังนั้น ในกรณีนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้ามาจักอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรประเภทใด จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องคืนค่าปรับตามฟ้องให้แก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องของโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share