แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยพิเคราะห์ว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 193 ทวิ เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับวินิจฉัยให้ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ข้อเท็จจริงจึงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแม้ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบป.วิ.อ.มาตรา 15
ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ.มาตรา 326, 328 โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นจำเลยในคดีแพ่งขอให้บังคับจำเลยยินยอมให้โจทก์ไปติดต่อและพบเด็กหญิง ธ. จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์ติดต่อหรือพบกับเด็กหญิงธ. โจทก์กับจำเลยที่ 2ก็ได้ยอมความกันในคดีแพ่ง ศาลมีคำพิพากษาตามยอมปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาว่า “โจทก์แถลงว่า ตามที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ โจทก์จะไปดำเนินการถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว และจะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอถอนเรื่องที่ร้องเรียนไว้ต่อไป ศาลจึงบันทึกไว้เป็นสำคัญ” แม้โจทก์จะผิดข้อตกลงไม่ไปดำเนินการถอนฟ้องให้ก็ตาม แต่ข้อความที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวแสดงให้เห็นโดยปริยายว่า โจทก์ตกลงกับจำเลยที่ 2 ยินยอมระงับข้อพิพาทในคดีอาญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 และบุคคลที่เกี่ยวยข้องในคดีดังกล่าวด้วยดังนี้ย่อมแสดงชัดว่าเป็นการยอมความกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมาย และสำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งถูกฟ้องในมูลความคดีเดียวกันกับจำเลยที่ 2เนื่องจากเป็นผู้บันทึกข้อความดังกล่าวลงในบัตรตรวจโรค จำเลยที่ 1 ก็คือบุคคลผู้เกี่ยวข้องตามที่ระบุไว้ในรายงานกระบวนพิจารณานั้นเอง เมื่อเจตนารมณ์ของคู่ความชี้ชัดว่าโจทก์ยอมความกับจำเลยที่ 2 โดยประสงค์ให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยจึงเป็นการแสดงเจตนาไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง มิใช่แต่เพียงจำเลยที่ 2 เท่านั้นไม่ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวจึงระงับไปตามป.วิ.อ.มาตรา 39 (2) ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๐, ๙๑, ๒๖๙, ๓๒๖, ๓๒๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับข้อหาทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและใช้เอกสารเท็จโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นแพทย์ในกลุ่มงานสูตินารีเวชกรรมและวางแผนครอบครัวทำการตรวจรักษาเด็กหญิงธันย์ชนก รัตนเมือง และบันทึกการตรวจลงในบัตรตรวจโรคตามสำเนาเอกสารหมาย จ.๔ เพราะร้อยตำรวจเอกวรวัฒน์เงินหมื่น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอุบลราชธานีส่งตัวมาให้ตรวจเนื่องจากจำเลยที่ ๒ ทราบอาการเจ็บป่วยของเด็กหญิงธันย์ชนกซึ่งเกิดขึ้นหลังจากโจทก์พาไปนอกบ้านแล้วจำเลยที่ ๒ นำเด็กหญิงธันย์ชนกไปปรึกษาร้อยตำรวจเอกวรวัฒน์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีมูลความผิด โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ไม่รับวินิจฉัยโดยพิเคราะห์ว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ที่ไม่รับวินิจฉัยให้ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรข้อเท็จจริงจึงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้น แม้ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓ จะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๔๙ วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕
สำหรับข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ และ ๓๒๘ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงเฉพาะจำเลยที่ ๑ ว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่มีมูลความผิด ส่วนจำเลยที่ ๒ ศาลอุทธรณ์ภาค ๓วินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ได้ยอมความกันถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑ ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๑/๒๕๔๑ ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานี สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒)นั้น โจทก์ฎีกาว่า รายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑มิใช่การยอมความโดยชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า ก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๒๗/๒๕๔๐คดีหมายเลขแดงที่ ๗๑/๒๕๔๑ ของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานีขอให้บังคับจำเลยยินยอมให้โจทก์ไปติดต่อและพบเด็กหญิงธันย์ชนก รัตนเมืองจำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์ติดต่อหรือพบกับเด็กหญิงธันย์ชนก โดยระบุว่าโจทก์ทำอนาจารบุตรจนอวัยวะเพศฉีกขาด บวมและอักเสบจำเลยที่ ๒ นำใบรับรองแพทย์ไปเป็นหลักฐานเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอุบลราชธานีให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลดังกล่าวมีคำสั่งเรียกบัตรตรวจโรคของเด็กหญิงธันย์ชนกจากโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี และทราบข้อความซึ่งจำเลยที่ ๑ ในฐานะแพทย์ผู้ตรวจรักษาเด็กหญิงธันย์ชนกบันทึกว่า เด็กหญิงธันย์ชนกมีอาการปวดที่อวัยวะเพศเด็กบอกว่าพ่อใช้นิ้วใส่ไปที่ช่องคลอด โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ แต่ปรากฎว่าขณะคดีอยู่ระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ก็ได้ยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๑/๒๕๔๑ โดยศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ ๒๔กรกฎาคม ๒๕๔๑ ดังกล่าว ดังนี้ ข้อความที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งโจทก์เองก็ตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งสองว่าโจทก์เป็นผู้แถลงซึ่งมีข้อความว่า “โจทก์แถลงว่า ตามที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ โจทก์จะไปดำเนินการถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าว และจะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอถอนเรื่องที่ร้องเรียนไว้ต่อไป ศาลจึงบันทึกไว้เป็นสำคัญ” เห็นว่า แม้โจทก์จะผิดข้อตกลงไม่ไปดำเนินการถอนฟ้องให้ก็ตาม แต่ข้อความที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวแสดงให้เห็นโดยปริยายว่า โจทก์ตกลงกับจำเลยที่ ๒ยินยอมระงับข้อพิพาทในคดีอาญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวด้วย ดังนี้ย่อมแสดงชัดว่าเป็นการยอมความกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ โดยชอบด้วยกฎหมาย และสำหรับจำเลยที่ ๑ ซึ่งถูกฟ้องในมูลความคดีเดียวกันกับจำเลยที่ ๒ เนื่องจากเป็นผู้บันทึกข้อความดังกล่าวลงในบัตรตรวจโรคจำเลยที่ ๑ ก็คือบุคคลผู้เกี่ยวข้องตามที่ระบุไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑ นั้นเอง ฉะนั้น เมื่อเจตนารมณ์ของคู่ความในคดีดังกล่าวเป็นดังที่ได้ลำดับความมาแล้ว ย่อมชี้ชัดว่าโจทก์ยอมความกับจำเลยที่ ๒โดยประสงค์ให้มีผลถึงจำเลยที่ ๑ ด้วย จึงเป็นการแสดงเจตนาไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสอง มิใช่แต่เพียงจำเลยที่ ๒ เท่านั้น ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ วินิจฉัยไว้ไม่ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๒๖ และ ๓๒๘ ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๒) ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ โดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงมานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน.