แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่เทศบาลเมืองฯ โจทก์ต้องชดใช้เงินให้ พ. เป็นผลโดยตรงจากสัญญาซึ่งจำเลยร่วมที่ 2 ในฐานะนายกเทศมนตรีและจำเลยในฐานะเทศมนตรีร่วมกันทำแทนโจทก์ โดยมอบสิทธิในการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินที่ พ. เคยเช่าอยู่เดิมให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองจะถือว่าเป็นการกระทำของโจทก์ แต่การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่บริการงานแทนโจทก์โดยไม่คำนึงถึงข้อผูกพันที่โจทก์มีอยู่ต่อ พ.ตามสัญญาเดิมที่โจทก์ต้องสร้างอาคารพาณิชย์ให้พ.เช่าอยู่แทนอาคารเดิมที่ถูกเพลิงไหม้เป็นเหตุให้ พ. ได้รับความเสียหายไม่ได้เข้าพักอาศัยในอาคารพาณิชย์ที่ก่อสร้างขึ้นดังกล่าว และโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ พ. ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองได้และขณะโจทก์ถูก พ. ฟ้องต่อศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย การที่โจทก์ไม่เรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยแก่จำเลย ความเสียหายของโจทก์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว แม้จำเลยร่วมที่ 2จะพ้นจากหน้าที่ไปก่อนที่โจทก์จะได้ชดใช้เงินค่าเสียหายให้แก่พ. ก็ไม่ทำให้จำเลยร่วมที่ 2 พ้นจากความรับผิดต่อโจทก์ อายุความเกี่ยวกับสิทธิฟ้องไล่เบี้ยของโจทก์ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นว่าต้องฟ้องภายในอายุความเท่าใดจึงต้องฟ้องภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลมีอำนาจบริหารงานราชการส่วนท้องถิ่นจำเลยดำรงตำแหน่งเทศมนตรีของเทศบาลเมืองสุโขทัยธานีโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของกรมทางหลวงบริเวณตลาดเทศบาลเมืองสุโขทัยธานีเพื่อสร้างอาคารพาณิชย์ และทำสัญญาให้นางเพ็กฮุ้ง แซ่เอี๊ยะ เช่าอาคารพาณิชย์ของโจทก์ซึ่งโจทก์เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นในที่ดินดังกล่าวมีกำหนด 12 ปีนับแต่วันที่ 1 กันยายน 2506 โดยนางเพ็กฮุ้งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจำนวน 2 ห้อง และต้องประกันอัคคีภัยในวงเงิน 90,000 บาท โดยให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากกรมธรรม์และมีข้อสัญญาระบุว่าในระหว่างอายุสัญญาเช่าหากเกิดอัคคีภัยขึ้นกันอาคารที่เช่า โจทก์จะต้องจัดการสร้างอาคารขึ้นใหม่ในราคาเท่ากับจำนวนเงินที่ได้รับจากการประกันภัยและให้ผู้เช่าอยู่ต่อไปจนครบกำหนดสัญญา ต่อมาวันที่ 27 มีนาคม 2511 ได้เกิดเพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ที่นางเพ็กฮุ้งเช่าทั้งสองห้อง โจทก์ได้รับเงินค่าประกันภัยเป็นเงินจำนวน 90,000 บาท ส่วนนางเพ็กฮุ้งได้ปลูกเพิงอาศัยในที่เดิมและทำการค้าเรื่อยมา วันที่ 6 พฤศจิกายน 2517 จำเลยในฐานะเทศมนตรีและได้รู้อยู่แล้วว่าโจทก์มีภาระผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ทำไว้กับนางเพ็กฮุ้ง ได้ร่วมกับนายพจน์ เกิดผลในฐานะเป็นคณะเทศมนตรีทำสัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้าง โดยให้สิทธิเป็นผู้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินที่โจทก์เช่าจากกรมทางหลวงรวมทั้งที่ดินซึ่งนางเพ็กฮุ้งเป็นผู้เช่าอยู่ด้วย นางเพ็กฮุ้งจึงได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นให้ปฏิบัติตามสัญญา ในคดีดังกล่าวศาลฎีกาได้พิพากษาให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเป็นเงิน 547,263.22 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้นางเพ็กฮุ้งแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะเป็นผู้แทนโจทก์ และจำเลยได้กระทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอก จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 547,263.22 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ที่โจทก์ทำกับนางเพ็กฮุ้งมีกำหนด 12 ปี เป็นสัญญาที่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจะฟ้องบังคับคดีได้เพียง 3 ปีจำเลยในฐานะพยานในสัญญาเช่าหาต้องรับผิดชอบตามสัญญาด้วยไม่ การที่นางเพ็กฮุ้งยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นเป็นเพราะความผิดของโจทก์เอง จำเลยหาได้มีส่วนรับผิดชอบด้วยไม่จำเลยไม่ได้ร่วมกับพวกทำสัญญาให้สิทธิแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างทำการก่อสร้างอาคารพาณิชย์จำเลยเพียงแต่เป็นพยานในสัญญาเท่านั้น จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในค่าเสียหายด้วย เมื่อโจทก์ถูกนางเพ็กฮุ้งฟ้อง โจทก์ก็หาได้เรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยไม่ หากโจทก์ได้เรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้ว โจทก์จะไม่แพ้คดี โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวผู้กระทำผิดและการละเมิดแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นหมายเรียก นายสวน สิงห์ชงค์นายพจน์ เกิดผล นายประถัมภ์ ฉายะสุโข และนายประเสริฐ โฆษิตตานนท์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1ถึงที่ 4 ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมที่ 1 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 1 เคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของโจทก์ และได้พ้นจากตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2515มูลเหตุพิพาทระหว่างนางเพ็กฮุ้งกับโจทก์ เกิดขึ้นหลังจากจำเลยร่วมที่ 1 ได้พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีไปแล้ว จำเลยร่วมที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ด้วย
จำเลยร่วมที่ 2 ให้การว่า เทศบาลเมืองสุโขทัยธานีได้บอกเลิกสัญญากับนางเพ็กฮุ้ง และทำสัญญาก่อสร้างอาคารพาณิชย์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างในขณะที่จำเลยร่วมที่ 2 ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2517 จริงเนื่องจากจำเลยร่วมที่ 2 เห็นว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนางเพ็กฮุ้งได้สิ้นสุดลงแล้วเพราะเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจะฟ้องร้องบังคับได้เพียง 3 ปี เมื่ออาคารพาณิชย์ถูกเพลิงไหม้แล้วโจทก์ก็ไม่ได้ขอต่ออายุสัญญาเช่าที่ดินกับกรมทางหลวงอีกสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนางเพ็กฮุ้งจึงระงับไปเมื่อโจทก์ถูกฟ้องต่อศาลชั้นต้นโจทก์ก็มิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวให้ศาลวินิจฉัย และมิได้เรียกจำเลยร่วมที่ 2 เข้าเป็นจำเลยร่วมเพื่อต่อสู้คดี มิฉะนั้นแล้วโจทก์จะไม่แพ้คดี การที่โจทก์แพ้คดีเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยร่วมที่ 2 ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างให้นางเพ็กฮุ้งมีสิทธิเช่าอาคารพาณิชย์ก่อนบุคคลอื่น ซึ่งนางเพ็กฮุ้งก็ได้รู้เห็นในการตกลงดังกล่าวข้างต้นโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี จึงขาดอายุความ
จำเลยร่วมที่ 3 ให้การว่า การที่โจทก์ทำสัญญาให้สิทธิก่อสร้างอาคารพาณิชย์แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้าง และให้นายชัยรัตน์เช่าหอ้งเลขที่ 51 นั้น เป็นการกระทำโดยพลการโดยไม่ไ่ด้รับความเห็นชอบจากจำเลยร่วมที่ 3 โจทก์รู้ตัวผู้กระทำผิดแล้วแต่ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี จึงขาดอายุความ
จำเลยร่วมที่ 4 ให้การว่า สัญญาที่โจทก์ให้สิทธิก่อสร้างอาคารพาณิชย์แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างนั้น ทำขึ้นก่อนที่จำเลยร่วมที่ 4 จะเข้ารับตำแหน่งเทศมนตรี โจทก์ทราบเหตุละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดแล้วแต่ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปีจึงขาดอายุความ
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยร่วมที่ 2 ถึงที่ 4 ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 547,263.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 21 มกราคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาทแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยร่วมที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 ว่า จำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินจำนวนตามฟ้องให้โจทก์หรือไม่ กับฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ปัญหาประการแรกที่ว่า จำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 จะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์หรือไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้พ้นหน้าที่ไปก่อนเกิดเหตุที่โจทก์ต้องชดใช้เงินให้นางเพ็กฮุ้งและจำเลยร่วมที่ 2 ฎีกาว่า การมอบสิทธิให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างจัดหาผู้เช่าได้รับความเห็นชอบจากคณะเทศมนตรีจึงเป็นการกระทำของโจทก์เองมิใช่จำเลยร่วมที่ 2 กระทำในฐานะตัวแทนโจทก์นั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า สัญญาที่โจทก์ทำและมอบสิทธิแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้าง ผู้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์จัดหาผู้เช่าอันเป็นผลให้โจทก์ต้องถูกนางเพ็กฮุ้งฟ้องร้องต่อศาลชั้นต้น และโจทก์ต้องชดใช้เงินให้แก่นางเพ็กฮุ้งนั้นได้กระทำขึ้นขณะที่จำเลยร่วมที่ 2เป็นนายกเทศมนตรีและจำเลยกลับมาเป็นเทศมนตรี และข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า จำเลยทั้งสองทราบดีว่า โจทก์มีข้อผูกพันที่จะต้องสร้างอาคารพาณิชย์ให้นางเพ็กฮุ้งเช่าอยู่แทนอาคารเดิมที่ถูกเพลิงไหม้ตามสัญญาหมาย จ.1 เมื่อโจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากกรมทางหลวงแล้ว จำเลยร่วมที่ 2 ก็มิได้เรียกนางเพ็กฮุ้งมาทำความตกลงเพื่อสร้างอาคารพาณิชย์แทนอาคารเดิมที่ถูกเพลิงไหม้ กลับทำสัญญาแทนโจทก์มอบสิทธิในการก่อสร้างอาคารพาณิชย์รวม 34 ห้องในที่ดินดังกล่าวรวมทั้งที่ดินปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ที่นางเพ็กฮุ้งเคยเช่าอยู่เดิมให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างตามเอกสารหมาย จ.12 เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างได้เรียกเงินตอบแทนจากนางเพ็กฮุ้งในการที่จะเข้าอยู่อาศัยในอาคารพาณิชย์ห้องเลขที่ 51 ที่ได้สร้างขึ้นเป็นเงินถึง 500,000 บาทแต่นางเพ็กฮุ้งจะให้ค่าตอบแทนเพียง 90,000 บาทเท่ากับจำนวนเงินค่าประกันภัยที่โจทก์ได้รับ จึงตกลงกันไม่ได้ เป็นผลให้โจทก์ต้องชดใช้เงินให้นางเพ็กฮุ้งในจำนวนดังกล่าวและการที่โจทก์ต้องชดใช้เงินให้นางเพ็กฮุ้งก็เป็นผลโดยตรงจากสัญญาซึ่งจำเลยทั้งสองร่วมกันทำ แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองจะถือว่าเป็นการกระทำของโจทก์แต่การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งสองซึ่งมีหน้าที่บริหารงานแทนโจทก์ได้ร่วมกันทำสัญญามอบสิทธิการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างดังกล่าวแล้วโดยไม่คำนึงถึงข้อผูกพันที่โจทก์มีอยู่ต่อนางเพ็กฮุ้งตามสัญญาเดิมเป็นเหตุให้นางเพ็กฮุ้งได้รับความเสียหายและโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นางเพ็กฮุ้งตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแล้วข้างต้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ และที่จำเลยฎีกาว่า ขณะโจทก์ถูกนางเพ็กฮุ้งฟ้องต่อศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ไม่ได้เรียกจำเลยเข้ามาในคดี หากเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมต่อสู้คดีด้วยแล้วโจทก์จะชนะคดีเห็นว่า ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องเรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย การที่โจทก์ไม่เรียกจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมก็ไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอากับจำเลย ส่วนที่จำเลยร่วมที่ 2 ฎีกาว่า ขณะที่จำเลยร่วมที่ 2 ลงนามในสัญญาก่อสร้างอาคารพาณิชย์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างนั้นความเสียหายของโจทก์ยังไม่เกิดขึ้น ความเสียหายเกิดขึ้นภายหลังจากจำเลยร่วมที่ 2 ได้พ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีแล้วจึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า ความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นเพราะสัญญาที่จำเลยร่วมที่ 2 ได้ทำกับห้างหุ้นส่วนจำกัดวินิจก่อสร้างแทนโจทก์และสัญญาดังกล่าวทำให้นางเพ็กฮุ้งไม่ได้เข้าพักอาศัยในอาคารพาณิชย์ที่ก่อสร้างขึ้นดังกล่าว แม้จำเลยร่วมที่ 2 จะพ้นจากหน้าที่ไปก่อนที่โจทก์ได้ชดใช้เงินค่าเสียหายให้แก่นางเพ็กฮุ้งก็ตามก็ไม่ทำให้จำเลยร่วมที่ 2 พ้นจากความรับผิดต่อโจทก์ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาประการต่อไปที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้นจำเลยร่วมที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนโจทก์และจำเลยได้กระทำด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูลละเมิด โจทก์มิได้ฟ้องคดีใน1 ปีนับแต่รู้ตัวผู้กระทำผิดจึงขาดอายุความ เห็นว่า คดีนี้เดิมนางเพ็กฮุ้งได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นให้รับผิดในความเสียหายซึ่งศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์รับผิดดังกล่าวแล้วข้างต้นเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าเสียหายให้นางเพ็กฮุ้งไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอากับจำเลยทั้งสองได้ อายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นว่าต้องฟ้องภายในอายุความเท่าใด จึงต้องฟ้องภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยร่วมที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน ให้จำเลยและจำเลยร่วมที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนโจทก์