คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ถุงกระดาษใส่เงินและทรัพย์มีค่าของผู้เสียหายตกอยู่บนทางในเวลากลางวัน ขณะผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จะกลับบ้าน โดยผู้เสียหายไม่ทราบว่าตกตรงไหน แต่คาดหมายได้ว่าตกในระหว่างทางที่ผ่านมาซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 3 เส้น ทันทีที่ผู้เสียหายรู้ตัวก็กลับรถไปตามหา และตามไปจนพบจุดที่ถุงกระดาษตก แต่ปรากฏว่าจำเลยเก็บไปเสียก่อนแล้วนั้น จำเลยย่อมรู้หรือควรรู้ว่าอยู่ในระหว่างเวลาที่เจ้าทรัพย์ติดตามหา การที่จำเลยเก็บเอาไปจึงเป็นการฉวยโอกาสเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของเจ้าทรัพย์ ก่อนที่เจ้าทรัพย์จะติดตามมาทัน เมื่อผู้เสียหายตามไปพบและขอคืน จำเลยก็ไม่ยอมคืน เป็นการแสดงเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกทรัพย์สินหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันลักธนบัตรชนิดต่าง ๆ ๑,๘๑๐ บาท กระเป๋าสำหรับใส่ธนบัตร ๑ ใบ เช็ค ๑ ใบ สั่งจ่ายเงินสด ๒,๕๐๐ บาท แว่นตา ๑ อัน ปากกาลูกลื่น ๑ ด้าม ยา ๑ ห่อ กระดาษเช็ดหน้า ๒ แผ่น บัตรโรงพยาบาล ๕ ใบ และนามบัตรหลายใบรวมราคา ๔,๔๒๓ บาท ของนางศรีสุนทรไปโดยทุจริต เจ้าพนักงานจำเลยที่ ๑ ได้พร้อมด้วยทรัพย์ต่าง ๆ ที่จำเลยลักไป เว้นแต่ธนบัตร ๑,๘๑๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕(๗)
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ จำคุกคนละ ๑ ปี ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้เงิน ๑,๘๑๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดยักยอกทรัพย์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงมาว่า ถุงกระดาษใส่กระเป๋าสตางค์มีธนบัตรและทรัพย์สินอื่นตามฟ้องบรรจุอยู่คือกระเป๋าธนบัตร ๑ ใบ ธนบัตรชนิดต่าง ๆ ๑,๘๑๐ บาท เช็ค ๑ ใบสั่งจ่ายเงินสด ๒,๕๐๐ บาท แว่นตา ๑ อัน ปากกาลูกลื่น ๑ ด้าม ยา ๑ ห่อ กระดาษเช็คหน้า ๒ แผ่น บัตรโรงพยาบาล ๕ ใบ และนามบัตรหลายใบ รวมราคาทรัพย์ทั้งสิ้น ๔,๔๒๓ บาทของนางศรีสุนทร ธงชัย ตกหายระหว่าง ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์จะกลับบ้าน จำเลยทั้งสองเก็บถุงกระดาษได้ และได้เปิดตรวจดูพบบัตรและเช็คสั่งจ่ายเงินสดชื่อนางศรีสุนทรผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองจึงได้เก็บเอาทรัพย์ทั้งหมดของผู้เสียหายไปก่อนที่ผู้เสียหายตามไปค้นหา ผู้เสียหายทราบว่าจำเลยทั้งสองเอาถุงกระดาษใส่ทรัพย์ขอตนไป จึงตามไปพบจำเลยทั้งสอง จำเลยยอมคืนของกลางต่าง ๆ ให้ แต่ไม่ยอมคืนเงิน ๑,๘๑๐ บาท
เห็นว่าผู้เสียหายจะไม่ทราบว่าถุงกระดาษบรรจุเงินตกตรงไหนแต่ผู้เสียหายก็คาดหมายได้ว่าถุงกระดาษใส่เงินต้องตกในระหว่างทางที่ผ่านมาคือจากสถานที่ก่อสร้างกับศาลหลักเมืองซึ่งเป็นระยะทางประมาณ ๓ เส้น ตรงจุดที่ถุงกระดาษตกหายคือบริเวณถนนพุทธมงคล ก็อยู่ห่างจากจุดที่ผู้เสียหายรู้ตัวว่าของหายในระยะห่างไม่ไกลนัก ทันทีที่รู้ตัวก็รีบกลับรถไปตามหา และก็ตามไปจนพบจุดที่ถุงกระดาษตก ซึ่งปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเก็บเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปเสียก่อนแล้ว ตอนจำเลยทั้งสองเก็บถุงกระดาษใส่เงินได้ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองทราบจากบัตรและเช็คสั่งจ่ายเงินสดซึ่งจำเลยทั้งสองเปิดดูพบอยู่ในถุงกระดาษว่าเจ้าของทรัพย์ชื่อนางศรีสุนทร การที่ถุงกระดาษใส่เงินและทรัพย์มีค่าตกอยู่บนทางในเวลากลางวัน จำเลยทั้งสองย่อมรู้หรือควรรู้อยู่ในระหว่างเวลาที่เจ้าทพรัย์ติดตามหา การที่จำเลย การที่จำเลยเก็บเอาไปจึงเป็นการฉวยโอกาสเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของเจ้าทรัพย์ ก่อนที่เจ้าทรัพย์จะติดตามมาทัน เมื่อผู้เสียหายตามไปพบและขอคืน จำเลยทั้งสองรู้ตัวเจ้าทรัพย์แล้ว ก็ไม่ยอมคืน พูดจาโยกโย้และปฏิเสธว่าไม่มีเงินเป็นการแสดงเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์
พิพากษายืน
(เดช วุฒิสิงห์ชัย ถนอม ครูไพศาล แถม ดุลยสุข)

Share