คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4180/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา แต่กล่าวถึงเรื่องการยักย้ายทรัพย์เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ เพียงว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 ร่วมกันโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1และที่ 2 โดยมิได้กล่าวว่าได้โอนขายที่ดินพิพาทไปให้แก่ผู้ใดไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาท จึงเป็นคำฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดลำปาง คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 26/2530 เป็นเงิน 382,736.06บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จำเลยที่ 2 เป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นภรรยาของบิดาจำเลยที่ 2เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2530 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำผิดกฎหมายโดยเจตนาทุจริต กล่าวคือจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันโอนขายที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 115หมู่ที่ 2 ตำบลหลวงใต้ อำเภองาว จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ทั้งสองและถูกฟ้องต่อศาลแล้ว ทั้งนี้เพื่อมิให้โจทก์ทั้งสองได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 จำคุกคนละ 1 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 โจทก์ทั้งสอง และจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 3 ถึงแก่ความตายศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่าฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องที่ชอบหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา แต่กล่าวถึงเรื่องการยักย้ายทรัพย์เพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ เพียงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยมิได้กล่าวว่าได้โอนขายที่ดินพิพาทไปให้แก่ผู้ใด เอกสารท้ายฟ้องก็ไม่มีไม่อาจทราบได้ว่าใครเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาท จึงเป็นคำฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นมาว่ากันในศาลล่างทั้งสอง แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และแม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกาถึงจำเลยที่ 1 แต่ปัญหาคำฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 คดีไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นต่อไปศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 แต่เห็นพ้องด้วยในผลที่ยกฟ้องจำเลยที่ 2”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share