คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4176/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 402 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์ ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลังก่อนแย่งแยกหรือแบ่งโอน จำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าจะ เปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะแต่ต่อมาจำเลยล้อมรั้วปิดกั้นในที่ดินของจำเลยทำให้โจทก์ไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินของโจทก์ที่แบ่งแยกจากที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 402 อยู่ในที่ล้อม จึงมีสิทธิผ่าน ที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกที่แบ่งหรือแบ่งโอนไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 การยกเลิกสัญญาที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ทางผ่านกว้าง 2.5 เมตร เป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1338 วรรคสองเพียงแต่ตกลงยกเลิกกันด้วยปากเปล่า ไม่มีผลผูกพัน ทางจำเลยโดยผลของกฎหมายไม่จำต้องไปจดทะเบียน สิทธิของโจทก์ที่จะเดินผ่านในที่ดินของจำเลยเกิดขึ้นโดย ผลของกฎหมาย โจทก์ย่อมจะฟ้องให้จำเลยเปิดทางได้โดยไม่มีอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส.3เลขที่ 402 ซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2519จำเลยได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้แก่โจทก์ เป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์ที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ และก่อนแบ่งโอนจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2530 จำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางเดินไม่ยอมให้โจทก์เดินผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยเปิดทาง จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมเปิดทางจึงขอให้จำเลยร่วมกันเปิดทางเดินด้านทิศเหนือ กว้าง 2.5 เมตรให้แก่โจทก์เพื่อผ่านออกสู่ทางสาธารณะและให้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ไปให้ถือเอาคำสั่งหรือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยทำสัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางเดินให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงยกเลิกสัญญาดังกล่าวเพราะโจทก์ทั้งสองประสงค์จะได้ที่ดินที่ซื้อจำนวน 3 งาน เต็มเนื้อที่โดยไม่ต้องแบ่งเป็นทางเดินเมื่อแบ่งโอนที่ดินกันแล้วโจทก์และจำเลยต่างล้อมรั้ว โจทก์ไม่เคยเดินผ่านที่ดินจำเลยเพราะโจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะทางด้านหลังต่อมาปี 2524 จำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นเต็มเนื้อที่และล้อมรั้วสังกะสีปิดกั้น โจทก์ทราบก็ไม่คัดค้านแต่อย่างใด โจทก์ไม่เคยเดินผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองเป็นเวลา 10 ปีเศษถือว่าโจทก์สละสิทธิ์การใช้สิทธิของโจทก์เป็นอันสิ้นสุดทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์มิได้ฟ้องเพื่อให้จำเลยเปิดทางเดินภายใน 10 ปี นับแต่ปี 2519 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร เพื่อโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เดินที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 402ซึ่งมีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของอยู่ติดถนนเชียงใหม่-พร้าวต่อมาปี 2519 โจทก์ทั้งสองได้ซื้อที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนแบ่งแยกหรือแบ่งโอน จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญากับโจทก์ทั้งสองว่าจะเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตรให้โจทก์ทั้งสองเดินออกสู่ทางสาธารณะได้
ปัญหาว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางเดินในที่ดินของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านหลังไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะจะต้องอาศัยทางในที่ดินของบุคคลอื่นและไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ในที่ล้อมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้ตกลงยกเลิกสัญญาที่จำเลยทั้งสองยินยอมให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางผ่านกว้าง 2.5 เมตร ตามเอกสารหมาย จ.5 นั้นเห็นว่า แม้ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองจะเป็นจริง แต่ตามข้ออ้างเป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1338 วรรคสอง บังคับให้ทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่กรณีตามที่จำเลยทั้งสองอ้างมิได้กระทำดังกล่าวเพียงแต่ตกลงยกเลิกข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ด้วยปากเปล่าเท่านั้นจึงไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง ดังนั้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในข้อที่ว่าโจทก์กับจำเลยได้ทำและยกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.5 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปได้แต่การใช้สิทธิผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองนั้นได้ความตามเอกสารหมาย จ.5 ว่ามีความกว้าง 2.5 เมตร แสดงว่าจำเลยทั้งสองก็ทราบดีว่าความกว้างดังกล่าวพอสมควรแก่ความจำเป็นตามสถานการณ์ความเจริญของบ้านเมือง จึงเห็นสมควรให้จำเลยทั้งสองเปิดทางกว้าง2.5 เมตร ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นแต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากจำเลยทั้งสองไม่ยอม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่าเมื่อเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมายจึงไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนตามคำขอของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้เดินผ่านที่ดินของจำเลย หรือไม่ขอให้จำเลยเลยเปิดทางเดินเกินกว่า14 ปีแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า สิทธิของโจทก์ทั้งสองเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย คือมีสิทธิเดินผ่านในที่ดินของจำเลยทั้งสองได้ตลอดเวลา เมื่อใดจำเลยทั้งสองปิดทางเดินจนโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสองย่อมจะฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางได้ กรณีไม่มีอายุความ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ให้จำเลยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share