แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้คัดค้านที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนจำนวน 400,000 บาท กันแต่อย่างใด ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่กองทรัพย์สินของจำเลย และการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าวเป็นนิติกรรมการจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้มีการกระทำของจำเลยเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และมาตรา 24 จึงเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้มาภายหลังเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลาย ตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 109 (2) และมาตรา 62
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2551 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2552
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมโดยมีค่าตอบแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 143293 ตำบลบางคูรัด อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 91/283 ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 และเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 ตามสัญญาจำนองฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2551 กับให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงินที่ได้รับจากจำเลยจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองทรัพย์สินของจำเลย
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมมีค่าตอบแทนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และยกคำร้องในส่วนที่ให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงินจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองทรัพย์สินของจำเลย
ผู้คัดค้านที่ 2 และจำเลยไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมมีค่าตอบแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 143293 ตำบลบางคูรัด อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เลขที่ 91/283 ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 และการจดทะเบียนจำนองที่ดินระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 2 ตามหนังสือสัญญาจำนองฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2551 และให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงินค่าตอบแทนที่ได้รับไว้ในการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมมีค่าตอบแทนแก่กองทรัพย์สินของจำเลยจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 เพียงประการเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องรับผิดคืนเงินจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่กองทรัพย์สินของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องและนำสืบอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 143293 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 91/283 โดยมีค่าตอบแทนเป็นเงิน 400,000 บาท โดยมีบันทึกข้อตกลงกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) มาแสดง อันเป็นเอกสารราชการและเป็นเอกสารมหาชน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นและให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องก็ตาม แต่ก็มิได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ห้ามมิให้คู่ความนำสืบหรือห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นอย่างอื่น เมื่อเหตุที่ผู้คัดค้านที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ผู้คัดค้านที่ 1 และจำเลยเบิกความยืนยันว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กับจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวมาตั้งแต่ปี 2543 โดยผู้คัดค้านที่ 1 ได้อุปการะเลี้ยงดูจำเลยกับบุตรมาตลอด และให้จำเลยกับบุตรมาอาศัยอยู่กับผู้คัดค้านที่ 1 ในบ้านบนที่ดินดังกล่าว ผู้คัดค้านที่ 1 และจำเลยเกรงว่าภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้คัดค้านที่ 1 จะอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 1 นำเงินที่ได้มาในระหว่างสมรสไปซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นสินสมรส หากผู้คัดค้านที่ 1 มีอันเป็นไปหรือเสียชีวิตไปก่อน ภริยาของผู้คัดค้านที่ 1 จะขับไล่จำเลยพร้อมบุตรออกไปจากที่ดินและบ้าน ผู้คัดค้านที่ 1 จึงตกลงจดทะเบียนใส่ชื่อของจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งย่อมเป็นไปได้ ประกอบกับเมื่อพิจารณาตามสำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน บัตรพนักงานองค์การของรัฐ และใบสำคัญการสมรส ระบุว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2487 เคยเป็นพนักงานการประปานครหลวง และมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับทางนำสืบของผู้คัดค้านที่ 1 ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เกษียณอายุการทำงานเมื่อปี 2547 และได้นำเงินบำเหน็จจากการเกษียณอายุการทำงานไปซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2547 และพาจำเลยพร้อมบุตรมาอาศัยอยู่กับผู้คัดค้านที่ 1 ณ บ้านที่ซื้อ โดยผู้คัดค้านที่ 1 ใส่ชื่อบุตรของจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินขณะซื้อด้วย ตามสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดิน หลังจากนั้นเมื่อปี 2548 จำเลยมีหนี้สินจำนวนมากจะนำที่ดินพร้อมบ้านไปขายให้แก่ผู้อื่น แต่ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่ยินยอม จึงฟ้องขอให้ถอนชื่อบุตรของจำเลยออกจากการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยและบุตรจดทะเบียนแก้ไขชื่อบุตรจำเลยออกจากการมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและคดีถึงที่สุดแล้ว ตามสำเนาคำพิพากษาและใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด พฤติการณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 และจำเลยซึ่งมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและพักอาศัยกับประกอบอาชีพค้าขายของชำร่วมกันภายในบ้านตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ทั้งผู้คัดค้านที่ 1 เคยยินยอมใส่ชื่อบุตรจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโดยไม่ปรากฏมีค่าตอบแทนกันมาก่อน น่าเชื่อว่าขณะที่ผู้คัดค้านที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินก็ไม่มีค่าตอบแทนและจำเลยไม่ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 400,000 บาท แต่อย่างใด หากจำเลยมีเงินจำนวนดังกล่าว ทั้งที่ขณะนั้นจำเลยกับผู้คัดค้านที่ 1 พักอาศัยและประกอบอาชีพค้าขายของชำร่วมกัน ย่อมต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยและผู้คัดค้านที่ 1 จะไปกู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยและต้องจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้พยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านที่ 1 นำสืบดังกล่าวสามารถรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานข้างต้นได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 1 จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่มีการจ่ายเงินค่าตอบแทนจำนวน 400,000 บาท กันแต่อย่างใด ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่กองทรัพย์สินของจำเลย และการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าวเป็นนิติกรรมการจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้เป็นการกระทำของจำเลยเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 และมาตรา 24 แต่อย่างใด จึงเป็นทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้มาภายหลังเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 109 (2) และมาตรา 62ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 มาตรา 247 (เดิม) และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับจำเลยและให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระเงินดังกล่าวแก่กองทรัพย์สินของจำเลย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของผู้ร้องในส่วนที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมมีค่าตอบแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 143293 ตำบลบางคูรัด อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 กับจำเลยและในส่วนที่ให้ผู้คัดค้านที่ 1 คืนเงินค่าตอบแทนที่ได้รับไว้ในการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวม (มีค่าตอบแทน) แก่กองทรัพย์สินของจำเลย จำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ