คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4174/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่เคยตกลงผูกพันตามสัญญาโอนขายลดเช็คฉบับเดิม ในการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาขายลดเช็คที่ได้กระทำขึ้นใหม่ภายหลัง เมื่อสัญญาค้ำประกันระบุให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในหนี้สินที่มีอยู่แล้ว และที่จะเกิดขึ้นในภายหลังผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คที่คู่สัญญาได้กระทำขึ้นต่อมาอีกภายหลัง แต่ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดเกินกว่าจำนวนเงินที่ต้องรับผิดตามสัญญาโอนขายลดเช็คที่สัญญาค้ำประกันได้ทำขึ้นเป็นสัญญาอุปกรณ์อยู่เดิม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาโอนขายลดเช็คไว้กับโจทก์ในวงเงิน 3,000,000 บาท โดยเป็นเช็คที่ลงวันที่ล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน ถ้าเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชำระเงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ในการตกลงทำสัญญามีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 นำเช็คมาขายลดให้โจทก์หลายครั้งและไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้รวม 12 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น2,187,853 บาท แต่จำเลยที่ 1 ได้ชำระเงินต้นบางส่วนจำนวน20,000 บาท คงค้างชำระเงินต้น 2,167,853 บาท และดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 511,735.04 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งห้าก็ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงิน 2,679,588.04 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,167,853 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเช็คตามฟ้องขายลดให้โจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยเคยค้ำประกันหนี้ตามสัญญาโอนขายลดเช็คฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2525ซึ่งโจทก์ให้จำเลยที่ 1 นำเช็คขายลดในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาทสัญญามีกำหนดระยะเวลาถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2526 มิใช่ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ตามสัญญาโอนขายลดเช็คฉบับลงวันที่ 24 เมษายน 2527ตามฟ้อง การขายลดเช็คของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ให้ต้องรับผิดและหากต้องรับผิดก็ไม่เกินวงเงินตามสัญญาที่ค้ำประกันเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้โจทก์2,679,588.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีจากต้นเงิน 2,167,853 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2525 จำเลยที่ 1ทำสัญญาโอนขายลดเช็คกับโจทก์ในวงเงิน 1,000,000 บาท เช็คที่นำมาขายนั้นเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน มีกำหนดตั้งแต่วันทำสัญญาถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2526 หากเช็คถึงกำหนดเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีหรืออัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่กฎหมายกำหนดปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.14 โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันโดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.9 ต่อมาได้มีการทำสัญญาโอนขายลดเช็คอีก 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2526 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนขายลดเช็คในวงเงิน 2,000,000 บาท มีกำหนดตั้งแต่วันทำสัญญาถึงวันที่ 29 มีนาคม 2527 และครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2527 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนขายลดเช็คในวงเงิน 3,000,000 บาท มีกำหนดเวลาตั้งแต่ในวันทำสัญญาถึงวันที่ 24 เมษายน 2528 โดยมีข้อกำหนดความรับผิดเช่นเดียวกับสัญญาฉบับแรกปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย จ.15 และ จ.5ตามลำดับ โดยในการทำสัญญาโอนขายลดเช็ค 2 ฉบับนี้ จำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันสัญญาใหม่หลังจากทำสัญญาดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คไปโอนขายให้โจทก์และได้ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาฉบับแรกและฉบับที่ 2 ครบถ้วนไม่มีหนี้ต่อกัน ที่เป็นปัญหาคดีนี้คือ สัญญาโอนขายลดเช็คฉบับที่ 3ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คจำนวนหลายฉบับไปโอนขายลดเช็คกับโจทก์หลายครั้ง เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงินปรากฏว่าเรียกเก็บเงินไม่ได้ รวมเป็นต้นเงิน 2,679,588.04บาท กับดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 511,735.04บาท จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ต้องรับผิดต่อโจทก์ในจำนวนหนี้ดังกล่าว ปัญหาวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกามีว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.9 มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 5 ให้ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ทำกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.9 มีข้อความระบุไว้ว่า “ผู้ค้ำประกันยินยอมค้ำประกันลูกหนี้ในบรรดาหนี้สินทุกประเภทที่ลูกหนี้ได้ก่อให้เกิดขึ้นหรือมีอยู่กับบริษัทฯ ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ และ/หรือที่จะมีขึ้นต่อไปภาคหน้า รวมทั้งหนี้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นดอกเบี้ย…” ซึ่งมีความชัดอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 5 ตกลงค้ำประกันหนี้ตามสัญญาโอนขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1มีกับโจทก์ในระหว่างอายุของสัญญาและหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังสัญญาด้วย เมื่อหนี้ตามสัญญาโอนขายลดเช็คฉบับสุดท้ายตามเเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งพิพาทกันนี้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังตามสัญญาค้ำประกันหมาย จ.6 ถึง จ.9 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5จึงต้องร่วมรับผิดด้วย แต่เนื่องจากสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาโอนขายลดเช็คตามเอกสารหมาย จ.14มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 รับผิดในวงเงิน 1,000,000 บาท เช็คที่นำมาโอนขายเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าไม่เกิน 90 วัน หากถึงกำหนดเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดใช้เงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ย และสัญญาค้ำประกัน หมาย จ.6 ถึง จ.9มีความว่า ผู้ค้ำประกันยินยอมค้ำประกันลูกหนี้ในบรรดาหนี้สินทุกประเภทที่ลูกหนี้ได้ก่อขึ้น… รวมทั้งหนี้อุปกรณ์อื่น ๆเช่น ดอกเบี้ย… แม้สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจะมิได้กำหนดจำนวนเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ก็เห็นเจตนาได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ยอมค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ในการโอนขายลดเช็คเพียงไม่เกินจำนวน 1,000,000 บาท ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาโอนขายลดเช็คฉบับแรกเท่านั้น ถ้าหากโจทก์ประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 5 รับผิดเกินกว่าจำนวนเงินดังกล่าวโจทก์ก็น่าจะให้จำเลยทำสัญญาค้ำประกันดังเช่นสัญญาฉบับแรก แต่โจทก์ก็หาได้กระทำไม่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 อยู่ภายใต้บังคับของสัญญาที่ว่าผู้ค้ำประกันยินยอมค้ำประกันลูกหนี้ในบรรดาหนี้สินทุกประเภทที่ลูกหนี้ได้ก่อให้เกิดขึ้นหรือมีอยู่กับบริษัทโจทก์ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้และหรือที่จะมีต่อไปภายภาคหน้าเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท รวมทั้งหนี้อุปกรณ์เช่นดอกเบี้ยจะตีความว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ยอมร่วมรับผิดเกินกว่าวงเงินหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 จะต้องร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์จำกัดจำนวนเพียง 1,000,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้จำนวน 1,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยก่อนฟ้องเป็นเงิน 246,959.79 บาท และนับแต่วันฟ้องในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share