แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรกบัญญัติว่า”คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น” เมื่อโจทก์ยังมิได้ส่งคำบังคับให้จำเลยทราบ กำหนดเวลาสิบห้าวันจึงยังไม่เริ่มนับ ส่วนที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินจากจำเลยมาเป็นของโจทก์ เมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน 2530 อันถือเป็นการบังคับตามคำพิพากษาก็ตาม แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2531 ยังไม่พ้นกำหนดระยะเวลาหกเดือนตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงยังไม่ล่วงเลยเวลาที่จะขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามกฎหมาย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาสืบโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่โดยอ้างว่า ไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง หากจำเลยทราบย่อมต้องยื่นคำให้การต่อสู้คดีและนำพยานเข้าสืบซึ่งจะชนะคดีอย่างแน่นอน เพราะโจทก์หาได้ยกที่ดินพร้อมบ้านให้แก่จำเลยโดยเสน่หาไม่ แต่เป็นการโอนให้เพื่อเป็นหลักฐานการหมั้น และประกันว่าโจทก์จะสมรสกับจำเลย เมื่อโจทก์จำเลยสมรสกันทรัพย์สินดังกล่าวย่อมตกเป็นของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิถอนคืนการให้ จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัด ขอให้ศาลยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทราบว่าถูกฟ้องคดีนี้ และจงใจขาดนัด ที่จำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ให้ทรัพย์สินแก่จำเลยเพื่อเป็นหลักฐานการหมั้นนั้นเป็นความเท็จ ความจริงเป็นการให้โดยเสน่หาจำเลยไม่มีทางชนะคดีได้ ไม่มีเหตุที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ และล่วงเลยกำหนดเวลาที่จะขอให้พิจารณาใหม่แล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 วรรคแรก บัญญัติว่า “คำขอให้พิจารณาใหม่นั้น ให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษา หรือคำสั่งโดยวิธีอื่น” คดีนี้ ได้ความจากนางสาวประนอม อินทรตุล เจ้าหน้าที่ธุรการ 3 กรมบังคับคดีซึ่งมีหน้าที่ดูแลหมายที่ส่งไปจากศาล พยานจำเลยว่า โจทก์มิได้นำส่งคำบังคับให้จำเลยทราบ และกรมบังคับคดีได้ส่งคำบังคับคืนศาลแล้ว ดังนี้เมื่อยังมิได้มีการส่งคำบังคับให้จำเลยทราบกำหนดเวลาสิบห้าวันจึงยังไม่เริ่มนับส่วนที่โจทก์ได้เปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินจากจำเลยมาเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ 19พฤศจิกายน 2530 อันถือเป็นการบังคับตามคำพิพากษาก็ตาม แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2531ก็ยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาหกเดือนตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงยังไม่ล่วงเลยเวลาตามกฎหมาย
พิพากษายืน