คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4165/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการชำระบัญชีเพื่อเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อผู้ชำระบัญชีได้เลือกกำหนดเอาสถานที่ใดเป็นสำนักงานชำระบัญชี ต้องถือว่าสถานที่นั้นเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการในการชำระบัญชีของห้างนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 49
แม้จะเสร็จการชำระบัญชีและได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้วก็ตามแต่ภูมิลำเนาเฉพาะการดังกล่าวนั้น จะยังคงอยู่ ณ สถานที่นั้นต่อไปอีกจนสิ้นระยะเวลาสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้แจ้งการประเมินให้ผู้ชำระบัญชีของห้างที่จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด ทราบโดยชอบแล้วก็มีผลใช้ได้ แม้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ จะไม่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดได้จดทะเบียนเลิกห้างเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๗ และจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ ๑เจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ ๑ ในรอบระยะเวลาบัญชี ปี ๒๕๒๕ และ ๒๕๒๖ แล้ว ได้แจ้งการประเมินไปยังจำเลยที่ ๑ให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายและภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมทั้งเงินเพิ่ม เป็นเงิน ๓๔๘,๘๑๘.๖๗ บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ชำระค่าภาษีดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ไม่อุทธรณ์การประเมิน เมื่อจดทะเบียนเลิกห้างจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีได้จ่ายทุนพร้อมกำไรคืนแก่จำเลยที่ ๒ถึงที่ ๖ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในระยะเวลาการชำระบัญชี และยังมิได้จดทะเบียนวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี โดยจำเลยที่ ๒ ทราบดีว่าจำเลยที่ ๑ ยังมีหนี้ภาษีอากรค้างและยังไม่ชำระแก่โจทก์อันเป็นการชำระบัญชีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าภาษีค้างจำนวน ๓๔๘,๘๑๘.๖๗ บาท และเงินเพิ่มร้อยละ ๑.๕ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของยอดเงินค่าภาษีค้างดังกล่าว นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ชำระค่าภาษีค้างตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยให้รับผิดตามจำนวนเงินที่แต่ละคนได้รับคืนตามบัญชีคืนทุนหุ้นส่วนโดย ให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีแบ่งคืนทรัพย์สินให้ผู้ถือหุ้นโดยมิชอบ ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินให้โจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ กับให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่แต่ละคนจะต้องรับผิด นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งการประเมินของเจ้าพนักงาน ทำให้ไม่มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ในฐานะผู้ชำระบัญชีเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีหนี้ภาษีอากรค้างชำระแก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นแบบรายการชำระภาษีในปีพ.ศ. ๒๕๒๕ และ พ.ศ. ๒๕๒๖ ทั้งได้ชำระค่าภาษีเสร็จสิ้นแล้วจำเลยที่ ๒ จึงคืนทุนแก่ผู้ถือหุ้นไปโดยสุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนตามฟ้องของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๖ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ในระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๕ ศาลอนุญาต
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าภาษีเป็นเงิน ๓๔๘,๘๑๘.๖๗ บาท กับให้เสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ๑.๕ ต่อเดือนของยอดเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๖ ชดใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์โดยรับผิดตามจำนวนเงินที่แต่ละคนได้รับไป คือรับผิดใช้เงินคนละ ๕๖,๑๖๗ บาท ทั้งนี้โดยให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีร่วมกันหรือแทนจำเลยที่ ๔ และที่ ๖ ชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๖ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าการแจ้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่นำไปปิดไว้ที่บ้านเลขที่ ๔๙๕/๓๗ ถนนสาธุประดิษฐ์แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในการชำระบัญชีเพื่อเลิกห้าง จำเลยที่ ๑นั้น จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีได้กำหนดเอาบ้านเลขที่ดังกล่าวข้างต้นเป็นสำนักงานชำระบัญชี จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ได้เลือกเอาบ้านดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๙ เพื่อเป็นที่ติดต่อเกี่ยวกับการชำระบัญชีของห้าง จำเลยที่ ๑ แม้จะปรากฏต่อมาว่า จำเลยที่ ๒ ได้ชำระบัญชีเสร็จสิ้นและจดทะเบียนเลิกห้างแล้วก็ตามแต่ห้างจำเลยที่ ๑ ก็ดี จำเลยที่ ๒ ผู้ชำระบัญชีก็ดี รวมตลอดถึงผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างจำเลยที่ ๑ ก็ดี อาจถูกฟ้องเรียกหนี้สินที่ตนเป็นลูกหนี้อยู่ภายในระยะเวลาสองปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๗๒ ได้ ดังนั้นภูมิลำเนาเฉพาะการเกี่ยวกับการชำระบัญชีของห้างจำเลยที่ ๑ จึงยังคงอยู่ที่บ้านเลขที่ ๔๙๕/๓๗ ดังกล่าวต่อไปอีกจนสิ้นระยะเวลาสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี คดีนี้ปรากฏว่า วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชีคือวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗ แต่โจทก์แจ้งการประเมินให้จำเลยที่ ๒ ทราบโดยเจ้าพนักงานสรรพากรนำไปปิดไว้ที่บ้านเลขที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๙ ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑ แผ่นที่ ๑๙๗ ซึ่งยังอยู่ในระยะเวลาสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี จึงถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งการประเมินต่อจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีของห้างจำเลยที่ ๑ ณ ภูมิลำเนาเฉพาะการเกี่ยวกับการชำระบัญชีแล้ว การแจ้งการประเมินของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา ๘ ส่วนจำเลยที่ ๔และที่ ๖ นั้น แม้จะไม่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๔ และที่ ๖ ทั้งนี้เพราะหนี้ตามหนังสือแจ้งการประเมิน เป็นหนี้ของห้างจำเลยที่ ๑ เมื่อได้แจ้งให้ผู้ชำระบัญชีของห้างจำเลยที่ ๑ โดยชอบแล้ว ก็มีผลใช้ได้ไม่มีเหตุที่เจ้าพนักงานประเมินจะต้องแจ้งให้จำเลยที่ ๔ และที่ ๖ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นทราบด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ในระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ได้ชำระหนี้ส่วนของจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ แก่โจทก์แล้ว ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต้องลดลงนั้น ปรากฏตามคำร้องของโจทก์ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๒๙ ที่ขอถอนฟ้อง จำเลยที่ ๓และที่ ๕ นั้น โจทก์ได้ยอมรับว่าจำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ได้นำเงินตามจำนวนที่ได้แบ่งคืนทุนพร้อมกำไรคนละ ๕๖,๑๖๗.๔๐ บาท ไปชำระแก่โจทก์แล้ว ดังนั้นจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้บางส่วนแล้วความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงต้องลดลงตามจำนวนดังกล่าวอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าภาษีอากรค้าง๒๓๖,๔๘๓.๘๗ บาท กับให้เสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนของยอดเงิน ๓๔๘,๘๑๘.๖๗ บาท จนถึงวันที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ได้ชำระภาษีที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๕ ต้องรับผิด หลังจากนั้นให้คิดเงินเพิ่มในอัตราดังกล่าวจากยอดเงิน ๒๓๖,๔๘๓.๘๗ บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share