คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4164/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ลิ้นเลียที่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วม ใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมมีอาการเจ็บ มีอาการอักเสบเป็นรอยแดงบริเวณแคมทั้งสองข้างรอบปากช่องคลอด สื่อให้เห็นว่า จำเลยประสงค์จะใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วม มิใช่เพียงการใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถเฉพาะภายนอกอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมโดยไม่ประสงค์จะสอดใส่ การกระทำของจำเลยจึงบ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยที่จะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม หาใช่มีเจตนาเพียงแค่กระทำอนาจารไม่
ป.อ. มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 ต้องการขยายความหมายของการกระทำชำเราว่า นอกจากหมายถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำต่ออวัยวะเพศของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังรวมถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับทวารหนักหรือช่องปากของผู้ถูกกระทำด้วย เท่ากับเป็นการเพิ่มอวัยวะที่ถูกกระทำขึ้นใหม่ เพิ่มสิ่งที่ใช้ในการกระทำนอกจากจะกระทำชำเราโดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังรวมถึงการใช้สิ่งอื่นใด เช่น การใช้อวัยวะเพศเทียมกระทำกับอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้ถูกกระทำด้วย เป็นกรณีที่ขยายความหมายของคำว่ากระทำชำเรา ในแง่เพิ่มสิ่งที่ใช้ในการกระทำและอวัยวะที่ถูกกระทำขึ้นใหม่เท่านั้น ส่วนกรณีอย่างไรจึงจะเป็นการกระทำชำเราสำเร็จนั้นก็คงยังคงมีความหมายอยู่ว่า จะเป็นการกระทำชำเราสำเร็จได้ต้องถึงขั้นอวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ถูกกระทำ หรือล่วงล้ำเข้าไปในทวารหนักของผู้ถูกกระทำ หรือล่วงล้ำเข้าไปในช่องปากของผู้ถูกกระทำ หากมีการใช้สิ่งของอย่างอื่น เช่น อวัยวะเพศเทียม สิ่งของอย่างนั้นก็ต้องมีการล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้ถูกกระทำเช่นกัน
จำเลยมีเจตนากระทำชำเราโจทก์ร่วม จำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมแต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมได้ เพราะอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมมีขนาดเล็ก ส่วนการใช้ลิ้นเลียอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏว่าลิ้นได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำชำเราแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 285 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 5, 7, 9, 13, 51
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา เด็กหญิงปุณิกา โดยนางสาวราศรี มารดา ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหากระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ส่วนข้อหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาตโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 285 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง, 13, 51 วรรคหนึ่ง อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษ ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเรา เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล จำคุกกระทงละ 12 ปี รวม 10 กระทง จำคุก 120 ปี ฐานเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน เมื่อรวมโทษ ทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 285 และ 80 ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 10 กระทง จำคุก 80 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ฎีกาโต้แย้งรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมซึ่งมีอายุเพียง 6 ปีเศษ เรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนพระแม่มารีอุปถัมภ์ ตำบลบางเดื่อ อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี หลังเลิกเรียนแล้ว โจทก์ร่วมได้เรียนพิเศษว่ายน้ำกับจำเลย ซึ่งเป็นครูสอนว่ายน้ำที่โรงเรียนดังกล่าว ทุกครั้งที่โจทก์ร่วมไปเรียนว่ายน้ำกับจำเลยที่สระว่ายน้ำของโรงเรียน จำเลยได้พาโจทก์ร่วมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วให้โจทก์ร่วมปีนไปนั่งบนอ่างล้างหน้า แล้วจำเลยใช้ลิ้นเลียอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม และใช้อวัยวะเพศจำเลยถูไถอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมแต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมเพราะอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมมีขนาดเล็กโดยโจทก์ร่วมไม่ยินยอม ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีเจตนากระทำชำเราโจทก์ร่วม หรือมีแต่เพียงเจตนากระทำอนาจารโจทก์ร่วม เห็นว่า จำเลยประสงค์จะใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วม มิใช่เพียงการใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถเฉพาะภายนอกอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมโดยไม่ประสงค์จะสอดใส่ คำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่มีเหตุให้ระแวงว่าเป็นคำเบิกความเกินความจริง เพราะโจทก์ร่วมเป็นลูกศิษย์ของจำเลย หากจำเลยไม่ได้กระทำการดังกล่าวต่อโจทก์ร่วมจริง ย่อมเป็นการยากที่โจทก์ร่วมซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อนจะสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเพื่อปรักปรำบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ของตน อีกทั้งได้ความจากแพทย์หญิงบังอร ผู้ตรวจโจทก์ร่วม เบิกความประกอบรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่า โจทก์ร่วมมีอาการอักเสบเป็นรอยแดงบริเวณแคมทั้งสองข้างรอบปากช่องคลอด ซึ่งสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าจำเลยประสงค์จะใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่อวัยวะเพศของโจทก์ร่วม แต่เนื่องจากโจทก์ร่วมเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 6 ปีเศษ มีอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก เมื่อถูกจำเลยพยายามใช้อวัยวะเพศของจำเลยเสียดสีเพื่อจะสอดใส่ จึงเป็นผลให้เกิดการอักเสบดังกล่าว พฤติการณ์การกระทำของจำเลยจึงบ่งชี้ถึงเจตนาของจำเลยได้ชัดเจนว่าจำเลยกระทำต่อโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาที่จะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วม หาใช่มีเจตนาเพียงแค่กระทำอนาจารไม่ ฎีกาในข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า การกระทำของจำเลยต่อโจทก์ร่วมเป็นความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ร่วมหรือฐานกระทำชำเราสำเร็จ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 27, 6 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2550 บัญญัติว่า การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำโดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า กฎหมายที่แก้ไขใหม่นี้ต้องการขยายความหมายของการกระทำชำเราว่า นอกจากหมายถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำต่ออวัยวะเพศของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังรวมถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับทวารหนักหรือช่องปากของผู้ถูกกระทำด้วย เท่ากับเป็นการเพิ่มอวัยวะที่ถูกกระทำขึ้นใหม่ นอกจากนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าวยังได้เพิ่มสิ่งที่ใช้ในการกระทำ กล่าวคือ นอกจากจะกระทำชำเราโดยใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือช่องปากของผู้ถูกกระทำแล้ว ยังรวมถึงการใช้สิ่งอื่นใด เช่น การใช้อวัยวะเพศเทียมกระทำกับอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้ถูกกระทำด้วย จึงเป็นกรณีที่บทบัญญัติดังกล่าวขยายความหมายของคำว่ากระทำชำเรา ในแง่เพิ่มสิ่งที่ใช้ในการกระทำและอวัยวะที่ถูกกระทำขึ้นใหม่เท่านั้น ส่วนกรณีอย่างไรจึงจะเป็นการกระทำชำเราสำเร็จนั้นก็คงยังคงมีความหมายอยู่ว่า จะเป็นการกระทำชำเราสำเร็จได้ต้องถึงขั้นอวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้ถูกกระทำ หรือล่วงล้ำเข้าไปในทวารหนักของผู้ถูกกระทำ หรือล่วงล้ำเข้าไปในช่องปากของผู้ถูกกระทำ หากมีการใช้สิ่งของอย่างอื่น เช่น อวัยวะเพศเทียม สิ่งของอย่างนั้นก็ต้องมีการล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศ หรือทวารหนักของผู้ถูกกระทำเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้รับฟังได้ว่า จำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยถูไถอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม แต่อวัยวะเพศของจำเลยไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมได้ เพราะอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมมีขนาดเล็ก ส่วนการใช้ลิ้นเลียอวัยวะเพศของโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฏว่าลิ้นได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำชำเราแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราโจทก์ร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
ปัญหาสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุที่จะลงโทษจำเลยในสถานเบาลงได้อีกหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นครูบาอาจารย์ย่อมต้องมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แต่จำเลยกลับกระทำการที่ไม่สมควรทางเพศต่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นศิษย์ ทั้งยังเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 6 ปีเศษ โดยได้กระทำต่อโจทก์ร่วมทุกครั้งที่มาเรียนว่ายน้ำกับจำเลย ต่างกรรมต่างวาระ จำนวนมากถึง 10 ครั้ง เป็นความผิดถึง 10 กระทง แสดงว่าจำเลยกระทำโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังขาดจริยธรรมของการเป็นครู ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดโทษจำคุกกระทงละ 8 ปี นับว่าเป็นการเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะกำหนดโทษเบาลงกว่านี้อีก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.

Share